MTS Help Center

การรายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจครั้งล่าสุด ประกาศออกมาน้อยกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลย สำหรับผู้ที่ติดตามข้อมูลการส่งออกมาโดยตลอด โดยจะเห็นได้ว่าข้อมูลการส่งออกของประเทศจีนในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้าที่นโยบายภาษีของสหรัฐฯจะมีผลบังคับใช้ ได้บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจมาโดยตลอด

Gerry Wang อดีต CEO และผู่ร่วมก่อตั้ง Seaspan (SSW) ที่เป็นบริษัทขนส่งทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้กล่าวว่า สัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนครั้งที่ผ่านมา หากดูจากข้อมูลของการขนส่งสินค้าทางทะเลจะเห็นได้ถึงสัญญาณของการชะลอตัวได้เร็วกว่าข้อมูลด้านอื่นๆถึง 6 เดือน เนื่องจากการนำเข้า-ส่งออกสินค้าถึง 99% จะเป็นการขนส่งทางเรือบรรทุกสินค้า

ทั้งนี้ ทีมบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศให้นโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนฉบับแรกมีผลบังคับใช้ในเดือนที่ ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าที่นโยบายจะมีผลบังคับใช้ จะเห็นได้ว่ามีจำนวนการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะการขนส่งผ่านเรือบรรทุกสินค้าในช่วงเดือน เม.ย. – มิ.ย. ได้ขยายตัวถึง 10% จากปีก่อนหน้า

จากข้อมูลการค้าของ Seabury Global Ocean จะเห็นได้การนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนปรับตัวลดลงอย่างมากนับตั้งแต่นโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้ามีผลบังคับใช้ ยกตัวอย่างเช่น การนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากประเทศจีนสู่สหรัฐฯ ปรับลดลงถึง 53% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนหน้า นับตั้งแต่นโยบายขึ้นภาษีสินค้ากลุ่มดังกล่าวมีผลบังคับใช้เดือน มี.ค. ขณะที่การนำเข้าสินค้ากลุ่มที่มีมูลค่านำเข้า 3.4 หมื่นล้านเหรียญ ปรับลดลงถึง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนหน้า นับตั้งแต่ที่นโยบายภาษีมีผลบังคับใช้เดือน ก.ค.

ขณะที่ Michel Looten ผู้บริหาร Seabury Consulting ระบุว่า สินค้าในกลุ่มที่ถูกขึ้นภาษีนำเข้าได้ถูกส่งไปยังประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน เยอรมนี และอิตาลีแทน นอกจากนี้ ทาง Seabury ยังได้ระบุเพิ่มเติมว่า ข้อมูลการค้าที่จะเปิดเผยในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ ซึ่งน่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายขึ้นภาษีที่มีผลบังคับใช้ในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา จะช่วยให้พวกเขาสามารถคาดการณ์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจในปี 2019 ได้ แต่นั่นก็อาจเป็นเพียงแค่ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เนื่องจากยังมีนโยบายภาษีอีกชุดที่จะมีผลบังคับใช้เดือน พ.ย. โดยจะขึ้นภาษีเป็นมูลค่า 1.6 หมื่นล้านเหรียญ ก่อนที่จะขยายตัวสู่ระดับ 2 แสนล้านเหรียญภายในเดือน ธ.ค.

ที่มา: CNBC