• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 26 ตุลาคม 2561

    26 ตุลาคม 2561 | Economic News

• ค่าเงินยูโรอ่อนค่าปรับอ่อนค่าทำระดับต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์ หลังจากที่นายมาริโอดรากี้ กล่าวว่า อีซีบีมีแนวโน้มจะเดินหน้าใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงิน แม้ว่าจะมีความกังวลต่ออนาคตทางการเมืองและเศรษฐกิจของยูโรโซน

อีซีบียืนยันที่จะทำการยุติ QE วงเงิน 2.6 ล้านล้านยูโร (2.97 ล้านล้านเหรียญ) ในช่วงสิ้นปีนี้ และการขึ้นดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนปีหน้า หรือประมาณเดือนก.ย. ซึ่งยังคงเป็นการให้สัญญาณเดิมเหมือนในการประชุมเมื่อเดือนมิ.ย. แม้ว่าทิศทางเศรษฐกิจจะดูไม่ค่อยสดใสนัก ขณะที่มีความผันผวนทางการเมืองในอิตาลี แต่ประธานอีซีบีก็มีความเชื่อมั่นว่าทางอียูและอิตาลีจะสามารถประนีประนอมเกี่ยวกับแผนงบประมาณร่วมกันได้ แต่หากอีติตาลีต้องการการช่วยเหลือทางการเงินจากอีซีบี อีซีบีก็อาจจำเป็นต้องพิจารณาแผนโครงการช่วยเหลือทางการเงินต่อไป

ค่าเงินยูโรปรับอ่อนค่าลงไปทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 16 ส.ค. ที่ระดับ 1.135 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ดัชนีดอลลาร์พุ่งขึ้นไปทำระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน ที่ระดับ 96.732 จุด

ขณะที่ค่าเงินปอนด์ยังคงอ่อนค่ารอบ 6 สัปดาห์ที่ 1.1280 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากที่ นายดรากี้ ประธานอีซีบีมองว่า การเจรจา Brexit อาจยืดเยื้อออกไปกว่าที่คาด ขณะที่ภาคเอกชนต้องเตรียมรับมือกับความเป็นไปได้ที่อังกฤษจะออกจากอียูโดยปราศจากข้อตกลงด้านความสัมพันธ์ในอนาคต

• ผลประกาศข้อมูลการใช้จ่ายภาคธุรกิจสหรัฐฯยังมีทิศทางชะลอตัวในเดือนก.ย. โดยยอดขาดดุลทางการค้ายังคงขยายตัวจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นมากกว่ายอดส่งออก แต่ภาพรวมการขยายตัวทางเศรษฐกิจไตรมาสที่ 3 ยังคงเป็นไปในระดับปานกลาง

• นางลอเร็ตต้า แมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาเคฟแลนด์ กล่าวยืนยันว่า การปรับร่วงลงของตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้รุนแรงมากพอที่จะสร้างความเสียหายให้กับความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศ จึงเป็นการยืนยันถึงแนวโน้มที่เฟดจะดำเนินนโยบายการเงินตามแผนเดิมต่อไป แม้ตลาดจะยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการปรับร่วงของตลาดหุ้น และ Trade war ระหว่างสหรัฐฯและจีนก็ตาม

• นายริชาร์ด แคลริด้า รองประธานเฟด กล่าวว่า แรงเทขายที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นเมื่อไม่นานมานี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดมีการหารือกันในเรื่องเงื่อนไขทางการเงิน ที่อาจเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มทางเศรษฐกิจ

• สถาบันจัดอันดับ Moody’s Investor Service ปรับแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมค้าปลีกสหรัฐฯกลับสู่ “เชิงบวก” เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก.ค. ปี 2015 โดยได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนค้าปลีกออนไลน์ โดยมูดี้ส์ มีการปรับเพิ่มการขยายตัวของยอดขายสหรัฐฯปีนี้ ที่คาดว่าจะเติบโตได้ระหว่าง 4.5 – 5.5% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.5 – 4.5% ขณะที่การเติบโตของผลกำไรในปี 2019 จะอยู่ในทิศทางที่ “แข็งแกร่ง” จากการค้าปลีกของบริษัทที่ทำธุรกิจในเชิง E-Commerce ที่จะส่งผลให้ภาพรวมยอค้าปลีกสหรัฐฯยังขยายตัวได้ 15%

• ฝ่ายอัยการประจำรัฐบาซาอุดิอาระเบีย ประกาศให้คดีฆาตกรรมนายจามาล คาช็อคกี้ เป็นการฆาตกรรมที่มีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า จากเดิมที่ระบุว่าคดีดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่ได้เจตนา โดยการเปลี่ยนแปลงทางรูปคดีครั้งนี้เกิดขึ้นหลังนางจีน่า ฮาสเปล ผู้อำนวยการ CIA แห่งสหรัฐฯได้ฟังเทปบันทึกเสียงที่เกี่ยวกับการฆาตกรรมในการเดินทางสืบเบาะแสกับหน่วยงานของตุรกีสัปดาห์นี้

• ตัวแทนทางการค้าจาก 12 ประเทศรวมถึงสหภาพยุโรป ยกเว้นสหรัฐฯและจีน ร่วมกันให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำการปฏิรูประบบขององค์การการค้าโลกที่ได้รับความเสียหายจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน รวมถึงรับฟังและดำเนินการแก้ไขปัญหาทางการค้าของจีนที่สหรัฐฯเป็นผู้ยื่นเรื่องฟ้องร้องเอาไว้

ทั้งนี้ แม้ว่าทางสหรัฐฯและจีนจะไม่ได้รับการเชิญชวนให้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ แต่ทางรัฐมนตรีกระทรวงการค้าแห่งแคนาดาได้ระบุว่า จะทำการรายงานความคืบหน้าให้แก่ทั้ง 2 ประเทศ และเชิญชวนให้เข้าร่วมการปฏิรูปในภายหลัง

• เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจส่งกำลังทหารกว่า 1,000 นายไปยังบริเวณพรมแดน สหรัฐฯ-เม็กซิโก

• ดัชนี Core CPI ของญี่ปุ่นทรงตัวในเดือนต.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งโดยภาพรวมดูเหมือนจะได้รับแรงหนุนเพียงเล็กน้อยจากการใช้นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของบีโอเจ ขณะที่เงินเฟ้อญี่ปุ่นยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย 2% ที่บีโอเจกำหนด

• ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น 1% หลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2011 ท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจากที่ร่วงไปทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 2011 ขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ส่งสัญญาณว่ากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่จะเข้าแทรกแซงตลาดน้ำมันเพื่อสนับสนุนราคาน้ำมันต่อไป

ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 72 เซนต์ ที่ระดับ 76.89 เหรียญ/บาร์เรล ท่ามกลางการปรับขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯจากรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ขณะที่ภาพรวม Brent ปรับลงมาเกือบ 10 เหรียญ/บาร์เรล นับตั้งแต่ขึ้นไปทำระดับสูงสดที่ 86.74 เหรียญ/บาร์เรล ที่ทำไว้เมื่อ 3 ต.ค.

ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดขึ้น 51 เซนต์ ที่ระดับ 67.33 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com