รายงานจากกระทรวงการคลังแห่งสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่ายอดขาดดุลของรัฐบาลสหรัฐฯในปีงบประมาณ 2018 ปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 7.79 แสนล้านเหรียญ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายปรับลดภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องมีการกู้ยืมมากขึ้น
เนื่องจากยอดขาดดุลของภาครัฐที่ย่ำแย่ลง ระดับหนี้สินในสหรัฐฯจึงแนวโน้มที่จะเลวร้ายลงเช่นเดียวกันสำหรับปีต่อๆไป ซึ่งทีมบริหารของนายทรัมป์ได้เคยคาดการณ์ว่ายอดขาดดุลของรัฐบาลจะแตะระดับ 1 ล้านล้านเหรียญภายในปี 2019 ซึ่งใกล้เคียงกับยอดดุลในปี 2012 ที่มีมากถึง 1.1 ล้านล้านเหรียญ
สาเหตุที่ยอดขาดดุลของรัฐบาลย่ำแย่ลง เป็นเพราะระดับภาษีที่ภาครัฐเก็บมีไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งรายได้จากภาษีของภาครัฐปรับลดลงไปอย่างมากนับตั้งแต่ที่นโยบายปฏิรูปภาษีของนายทรัมป์มีผลบังคับใช้ ที่ให้สัญญาว่าจะปรับลดระดับภาษีรวมลงไปถึง 1.5 ล้านล้านเหรียญภายในอีก 10 ปีข้างหน้า
ถึงแม้ว่านโยบายปรับลดภาษีจะช่วยกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯได้จริง จนทำให้เฟดต้องปรับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้ขึ้นไปที่ระดับ 3.1% ก็ตาม แต่ดูเหมือนการเติบโตของเศรษฐกิจ จะไม่เพียงพอที่จะมาทดแทนรายได้ที่สูญหายไปของภาครัฐตามที่ทีมบริหารอ้าง
Marc Goldwein ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนให้รัฐบาลมียอดขาดดุลอยู่ในระดับต่ำ กล่าวว่า “ตัวเลขที่เห็นในบัญชีของภาครัฐ เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าการเติบโตของเศรษฐกิจที่ขยายตัวขึ้น ไม่สามารถช่วยให้ภาครัฐมียอดขาดดุลที่ลดลงไปได้เลย”
ขณะที่รายงานตัวเลขดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนหน้าการเลือกตั้งกลางวาระในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ จึงมีโอกาสที่จะกดดันความน่าเชื่อถือของพรรครีพับลิกันที่อ้างตนว่าเป็นฝ่ายที่เหมาะสมกับการบริหารการเงินในสหรัฐฯมากที่สุด