• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 17 ตุลาคม 2561

    17 ตุลาคม 2561 | Economic News
• ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.1% บริเวณ 95.15 จุด ท่ามกลางแรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงที่สูงขึ้นหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น แต่ค่าเงินยังไม่สามารถปรับแข็งค่าได้มากนัก เนื่องจากตลาดกำลังรอรายงานการประชุมเฟดครั้งที่ผ่านมา ที่จะเปิดเผยในค่ำคืนนี้

ตลาดจะจับตารายงานการประชุมในค่ำคืนนี้ เพื่อหาสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต รวมถึงทิศทางต่อไปของค่าเงินดอลลาร์ ขณะที่FedWatch Tool ของ CME Group มองโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. ไว้ที่ 77%

ด้านค่าเงินยูโรปรับอ่อนค่าลง 0.2% บริเวณ 1.15575 ดอลลาร์/ยูโร โดยค่าเงินแข็งค่าทำระดับสูงสุดเมื่อวานนี้ที่ระดับ 1.1622 ดอลลาร์/ยูโร ก่อนที่จะอ่อนกำลังลงในตลาดวันนี้

• ค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์ถูกกดดันจากแรงเทขายครั้งใหม่ และกลับมาเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าอีกครั้ง จากการที่ค่าเงินดอลลาร์มีการถูกเข้าซื้อเพิ่มขึ้น โดยเช้านี้ค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์ล้มเหลวในการแตะระดับแนวต้าน 0.7150 ในตลาดเอเชีย

• นักวิเคราะห์จาก FX Street ระบุว่า ค่าเงินยูโรระยะสั้นมีสัญญาณ Elliott Wave ที่ดูมีแนวโน้มจะเห็นค่าเงินได้จบรอบการปรับตัวลงไปบริเวณ 1.1427 ดอลลาร์/ยูโรแล้ว จึงเห็นถึงแรงซื้อกลับเข้ามาหลังลงไประดับดังกล่าว และโดยโครงสร้าง Elliot Wave จะเห็นได้ว่าราคามีระดับต่ำสุดที่ยกตัวสูงขึ้นเมื่อวันที่ 15 เดือนส.ค. และน่าจะเข้าสู่วัฎจักรของ Wave ที่ 3 (III) ซึ่งเราคาดว่าน่าจะเห็นค่าเงินยูโรกลับขึ้นจากระดับปัจจุบันไปแตะที่ 1.1610 ดอลลาร์/ยูโรในระยะกลางของคลื่นที่ (1) จาก 5 ระดับของ Wave 2 (II)

สำหรับภาพปัจจุบันจะเห็นว่าค่าเงินยูโรมีการปรับฐานโดยมีจุดต่ำสุดยกสูงจาก 1.1427 ดอลลาร์/ยูโร มาทำต่ำสุดใหม่แถว 1.1534 ดอลลาร์/ยูโร ดังนั้น เราจึงมีโอกาสเห็นค่าเงินยูโรดีดกลับไปได้ที่ 1.1621 ดอลลาร์/ยูโรเมื่อจบการเคลื่อนไหวในแดน B ของ Wave III ซี่งในส่วนของ Wave C นั้น จะมีกรอบการเคลื่อนไหวระหว่างเส้น Fibonacci Extension ที่กรอบของ A-B ที่ 1.1497 - 1.1545 ดอลลาร์/ยูโร โดยจะเห็นได้ว่า หากเป็นไปตามที่คาดการณ์เราจะเห็นค่าเงินยูโรกลับขึ้นตามขาได้ และน่าจะยังไม่เกิดแรงเทขายตามเข้ามา

• รายงานจาก Reuters ระบุว่า นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ ยืนยันรัฐบาลซาอุดิอาระเบียจะดำเนินการสืบสวนคดีฆาตกรรมนายจามาล คาช็อกกี ผู้สื่อข่าวอิสระชาวซาอุดีอาระเบีย อย่างเต็มรูปแบบ

ขณะที่นายปอมเปโอ มีกำหนดการจะพบกับนายเรเซป เทย์ยิป เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกี เป็นอันดับต่อไป เพื่อรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนแต่งงานนายจามาล

• นางอังเกลาร์ แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า ยุโรปจำเป็นต้องทบทวนความสัมพันธ์กับทางประเทศซาอุดิอาระเบีย ตามผลการสืบสวนกรณีการหายตัวไปอย่างลึกลับของ นายจามาล กาช็อกกี นักหนังสือพิมพ์ของสหรัฐฯ ที่มักทำคอลัมน์วิจารณ์มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบีย โดยเขาได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยที่สถานกงสุล ณ กรุงอิสตันบูล ตั้งแต่วันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยที่เจ้าหน้าที่ของตุรกี เชื่อว่า ผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวน่าจะถูกสังหารและมีการเคลื่อนย้ายศพเป็นที่เรียบร้อย

• สำนักงานตัวแทนการค้าแห่งสหรัฐฯ รายงานต่อสภาคองเกรสโดยระบุว่า พวกเขามีแนวคิดที่จะเปิดกว้างการค้าออกสู่สหภาพยุโรป อังกฤษ และญี่ปุ่น

อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯจะยังไม่สามารถเริ่มต้นการเจรจาการค้ากับสหภาพยุโรป อังกฤษ หรือญี่ปุ่นได้ จนกว่าจะผ่านพ้นช่วงระยะเวลา 90 วันหลังรายงานต่อสภาคองเกรส ซึ่งเป็นไปตามกฏหมายของสหรัฐฯ

ขณะที่รายงานของนายโรเบิร์ต ไรท์ไฮเซอร์ ตัวแทนการค้าแห่งสหรัฐฯ ระบุว่า พวกเขามีจุดมุ่งหมายที่จะร่วมเจรจาและลงนามในสนธิสัญญาทางการค้าร่วมกับสหภาพยุโรป อังกฤษ และญี่ปุ่น เพื่อผลประโยชน์ของแรงงานในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นชาวนาชาวไร่ หรือธุรกิจต่างๆ

• รายงานจาก Kitco ระบุว่า เหล่าเทรดเดอร์และนักลงทุนกำลังรอคอยการเปิดเผยรายงานประชุมเฟดเดือนก.ย. หลังจากที่การประชุมในวาระดังกล่าวมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดครั้งที่ 3 ในปีนี้ ขณะที่มีคำถามตามมาว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธ.ค.หรือไม่ โดยตลาดจะรอดูสัญญาณความเป็นไปได้จากรายงานประชุมเฟดครั้งนี้ว่าจะเห็นเฟดขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 4 หรือไม่

ปัจจุบันทีมบริหารของ นายทรัมป์ ยังคงมองว่า การดำเนินนโยบายของเฟดนั้นเป็นเรื่องที่ผิดพลาด และเฟดตัดสินใจดำเนินการไปอย่างเสียสติ และล่าสุด นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวในเชิงเฟดคืออุปสรรคครั้งใหญ่ของเขา จากการให้สัมภาษณ์กับรายการ Fox Business ซึ่งนายทรัมป์ แสดงให้เห็นถึงความไม่พึงพอใจที่เฟดตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยนั่นเอง

• รายงานจาก IMF ระบุว่า นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ มีการเลื่อนกำหนดการเดินทางเยือนประเทศในตะวันออกกลางที่มีกำหนดการในระหว่าง 23-25 ต.ค. หลังมีข่าวการสืบสวนเหตุกาณ์ในซาอุดิอาระเบียเกี่ยวกับการหายตัวไปอย่างลึกลับของ นายจามาล กาช็อกกี้ นักข่าวของสำนักข่าว Washington Post ขณะที่เจ้าหน้าที่จากตุรกี กล่าวหาว่าซาอุดิอาระเบียได้ทำการสังหารนักข่าวคนดังกล่าว ขณะที่ทางการซาอุดิอาระเบียปฏิเสธต่อข้อกล่าวหาดังกล่าว

• รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของลักเซมเบิร์ก กล่าวว่า ยุโรปอาจไม่ได้รับผลกระทบเมื่ออังกฤษยังคงอยู่ในสภาหอการค้าของยุโรปในช่วงเปลียนผ่านทางข้อตกลง และคาดว่าจะไม่เกิดปัญหาใหญ่ใดๆสำหรับกำหนดการช่วงเปลี่ยนผ่านที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 1 ม.ค. ปี 2020 และคาดหวังว่านอกจากอียูจะไม่เป็นไร ทางอังกฤษก็น่าจะไม่เป็นไรด้วยเช่นกัน

• รัฐมนตรีกระทรวงการคลังฝรั่งเศส กล่าวว่า ข้อตกลง Brexit นั้นใกล้เกิดขึ้นแล้วและอาจบรรลุข้อตกลงให้เกิดขึ้นได้ภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

• รายงานผลสำรวจจากรอยเตอร์ส ชี้ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศตุรกีปรับตัวได้น้อยกว่าที่รัฐบาลมีการคาดการณ์ไว้ในปีนี้และปีหน้า โดยภาวะถดถอยดังกล่าวมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนข้างหน้านี้ และนี่เป็นผลกระทบจากวิกฤตทางการเงิน

จะเห็นได้ว่า ค่าเงินลีรามีการปรับอ่อนค่าลงมาเกือบ 40% ในปีนี้ และผลักดันให้ราคาทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่อาหารจนถึงพลังงาน ได้ส่งผลให้เงินเฟ้อรายปีขยับขึ้นใกล้ 25% ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 15 ปี

อย่างไรก็ดี ความกังวลดังกล่าว ส่งผลให้ทางประธานาธิบดีตุรกีได้หานโยบายการเงินเพื่อเข้าควบคุมแรงเทขาย โดยให้ธนาคารกลางมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอให้ค่าเงินลีราลดการอ่อนตัวลงมาได้ ขณะที่นักลงทุนกำลังวิตกกังวลต่อการชะลอตัวและความเป็นไปได้ที่ผลกระทบดังกล่าวจะส่งผลต่อภาคธนาคาร

• หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนจาก BAML (Bank of America Merrill Lynch) กล่าวว่า นักลงทุนกำลังมองทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกเป็นขาลง แต่ก็มองว่าระยะสั้นๆจะมองว่าสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆจะสามารถรีบาวน์กลับได้

• บริษัทน้ำมันของอิหร่านอย่าง NIOC กล่าวอ้างว่า การที่สหรัฐฯใช้มาตรการคว่ำบาตรเพื่อต้องการให้การส่งออกน้ำมันดิบของทางอิหร่านสู่ระดับศูนย์เป็นการบลัฟกันทางการเมือง โดยเป้าหมายการคว่ำบาตรก็มีเพื่อให้บรรดากลุ่มประเทศผู้นตะวันออกกลางมีการเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินงานในภูมิภาค ซึ่งสหรัฐฯจะทำการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านตั้งแต่ 4 พ.ย.นี้เป็นต้นไป

• ราคาน้ำมันดิบยังคงแกว่งตัวลงมาใกล้ระดับแนวรับซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเมื่อช่วงกลางเดือนส.ค. ที่ 71.21 เหรียญ/บาร์เรล โดยหากราคาน้ำมันดิบปิดต่ำกว่าระดับดังกล่าวมีโอกาสกลับลงทดสอบ 70.26 เหรียญ/บาร์เรล หรือจนถึง 70.05 เหรียญ/บาร์เรล ในทางกลับกัน หากน้ำมันดิบ WTI ยืนเหนือ 78.22 เหรียญ/บาร์เรลได้ ก็มีโอกาสกลับขึ้นไปที่75.00 - 77.31 เหรียญ/บาร์เรล ได้ และจะส่งผลให้ภาพระยะยาวมีการฟอร์มตัวกลับขึ้นไปอีกครั้ง

• ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 4 หลังรายงานปริมาณสต็อกน้ำมันสหรัฐฯประกาศออกมามากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับกรณีการหายตัวไปของนายจามาล คาช็อกกี้ นักข่าวของสำนักข่าว Washington Post ที่สร้างผลกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและอาจลามไปถึงการส่งออกน้ำมัน

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้นอีก 15 เซนต์ 81.56 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ปรับขึ้นมาได้ 1.15 เหรียญใน 3 ช่วงตลาดก่อนหน้า โดยราคาน้ำมัน Brent เคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ 86.74 เหรียญ/บาร์เรลเพียงแค่ 5 เหรียญ

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 10 เซนต์ บริเวณ 72.02 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com