• ค่าเงินยูโรปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 7 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งของอิตาลีและอียูเกี่ยวกับแผนงบประมาณของอิตาลี ขณะที่เงินหยวนอ่อนค่าอย่างมากจากการที่ธนาคารกลางจีนเคลื่อนไหวในการพยายามกระตุ้นสภาพคล่องทางการเงินเพื่อลดความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีน
ทางด้านค่าเงินปอนด์เผชิญแรงขายปิดทำกำไรของกลุ่มนักลงทุนหลังจากที่ปรับแข็งค่าขึ้นได้เมื่อวันก่อนท่ามกลางมุมมองเชิงบวกต่อข้อตกลง Brexit
ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นได้อย่างจำกัดเป็นวันที่ 3 หลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังคงเคลื่อนไหวแดนลบจากความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.13% ที่ระดับ 95.744 จุด ขณะที่ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯเมื่อคืนนี้ปิดเนื่องในวันโคลอมบัส แต่เมื่อวันศุกร์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีขึ้นไปแตะระดับสูงสุดรอบ 7 ปีที่ 3.248%
ค่าเงินหยวนปิดอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 7 สัปดาห์ที่ 6.9315 หยวน/ดอลลาร์ แม้ว่าจีนจะออกมาตรการล่าสุดเพื่อลดความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับ Trade War ระหว่างสหรัฐฯกับจีนก็ตาม
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีอายุ 10 ปี ปรับขึ้นเกือบ 0.20% ที่ระดับ 3.60% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง ขณะที่หุ้นอิตาลีร่วงลงทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เม.ย. ปี 2017
ด้านค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.26% ที่ระดับ 1.14900 ดอลลาร์/ยูโร โดยอยู่ใกล้กับระดับต่ำสุดรอบ 1 ปีที่ทำไว้เมื่อช่วงกลางเดือนส.ค. ที่ระดับ 1.1355 ดอลลาร์/ยูโร
• นายมัตเตโอ ซัลวินี รองนายกรัฐมนตรีอิตาลี กล่าวกับที่ประชุมร่วมกับ นางมารีน เลอ แปน ผู้นำพรรคขวาจัดของฝรั่งเศส กล่าวตำหนิ นายฌ็อง คลอด จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการอียู และนายปิแอร์ มอสโควิซี คณะกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจว่าเป็นศัตรูของยุโรป โดยกล่าวอ้างถึง มาตรการรัดเข็มขัดของนายจุงเกอร์ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ยุโรปเผชิญกับความกังวลและการขาดความมั่นใจในภาคแรงงาน
อย่างไรก็ดี รายงานจาก Euro News ระบุว่า ทั้งนายซัลวินี และนางเลอ แปน ถูกคาดว่าจะได้รับเลือกเข้าสู่ที่นั่งในรัฐสภายุโรปช่วงการเลือกตั้งในเดือนพ.ค. ปี 2019 และนั่นจะนำมาซึ่งความปั่นป่วนและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุโรปได้ ซึ่งทั้งอิตาลีและฝรั่งเศสนั้นยังคงมีอัตราว่างงานอยู่ในระดับสูง รวมทั้งกลุ่มผู้อพยพ และมีแนวคิดเดียวกันในเรื่องต้องการเห็นปัญหาของทั้งสองประเทศคลี่คลายลงด้วยการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น, มาตรการรัดเข็มขัดที่ผ่อนคลายลง รวมทั้งการลดการเปิดกว้างบริเวณพรมแดน
• รายงานจาก The Telegraph เผยว่า นายมัตเตโอ ซัลวินี รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยและรองนายกรัฐมนตรีแห่งอิตาลี กล่าวข่มขู่จะทำการปิดสนามบินในประเทศเพื่อป้องกันไม่ให้เยอรมนีทำการส่งพลเมืองกลับประเทศ
การกระทำดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะสร้างความไม่พึงพอใจให้กับเยอรมนี หลังจากที่นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ที่ระบุว่าจะทำการส่งผู้อพยพกลุ่มแรกจำนวน 40 คนกลับสู่อิตาลีภายในสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ รายงานจากอิตาลีได้ระบุว่า เยอรมนีมีแนวโน้มที่จะทำการผู้อพยพกลับประเทศจำนวนทั้งหมดกว่า 40,000 คน เนื่องจากนางอังเกล่ากำลังได้รับแรงกดดันจากแคว้นบาวาเรีย ที่กำลังจะมีการเลือกตั้งขึ้นในสัปดาห์หน้า ขณะที่รัฐบาลอิตาลีระบุว่าไม่มีข้อตกลงใดๆระหว่างทั้ง 2 ประเทศเกี่ยวกับการส่งผู้อพยพกลับประเทศ
ทางด้านโฆษกประจำรัฐบาลเยอรมนีได้ออกมายืนยันว่า “รัฐบาลไม่มีแผนการบินสู่อิตาลีที่เตรียมการไว้ในเร็วๆนี้แต่อย่างใด”
• นายเจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เฟดไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยมากเกินไปเพื่อให้เงินเฟ้อนั้นอยู่ภายใต้การควบคุม
• นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ยอมรับว่า มีสัญญาณความคืบหน้ามากขึ้นในการเจรจากับผู้นำเกาหลีเหนือในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาและทั้งสองฝ่ายขยับใกล้รายละเอียดข้อตกลงสำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำครั้งที่ 2 ระหว่าง นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
• กลุ่มผู้บริโภคอังกฤษกลับมามีท่าทีระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในเดือนก.ย. หลังจากที่ใช้จ่ายอย่างคึกครื้นในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ซึ่งผลการสำรวจ 2 แห่งสะท้อนไปในทางเดียวกันว่า ภาพรวมเศรษฐกิจอังกฤษจะไม่สามารถจัดการได้ดีเท่าไหร่นักท่ามกลางข้อตกลง Brexit ที่ดูจะเป็นปัจจัยลบในเวลานี้
• IMF มีการประกาศปรับลดแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางภาวะความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและประเทศคู่ค้านานาประเทศที่ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก โดย IMF คาดว่าจะเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ 3.7% ในปีนี้และปีหน้า โดยปรับลดลงมา 0.2% จากคาดการณ์ครั้งก่อนหน้า
ขณะที่คาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯและจีนนั้น IMF คาดว่าจะเห็นสหรัฐฯขยายตัวได้ 2.9% และจีนขยายตัวได้ 6.6% ในปีนี้ แต่ทั้งสองประเทศอาจเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงในปีหน้า โดยคาดว่าสหรัฐฯจะขยายตัวได้ 2.5% และจีนขยายตัวได้ 6.2% ในปี 2019
• ราคาน้ำมันดิบปิดปรับขึ้นจากที่ปรับตัวลงไปเมื่อวานนี้ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนในตลาดที่เกิดกระแสคาดการณ์กันว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนอาจช่วยหนุนให้อุปสงค์น้ำมันในจีนปรับเพิ่มขึ้นได้ จึงช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบ Brent จากที่ร่วงลงหลุดต่ำกว่าระดับ 83 เหรียญ/บาร์เรล ไปทำต่ำสุดที่ 82.66 เหรียญ/บาร์เรล และภาพรวมเมื่อวานนี้ปิดลดลง 25 เซนต์ ที่ระดับ 83.91 เหรียญ/บาร์เรลได้ ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ทำ Low 73.07 เหรียญ/บาร์เรล โดยภาพรวมปิดลดลง 5 เซนต์ ที่ระดับ 74.29 เหรียญ/บาร์เรล
• รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของอินเดีย เผยว่า 2 บริษัทน้ำมันชั้นนำของอินเดียยังคงมีคำสั่งนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านอยู่ในเดือนหน้า แม้ว่าทางสหรัฐฯจะมีการใช้มาตรการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันดิบของทางอิหร่านในวันที่ 4 พ.ย.นี้