• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 28 กันยายน 2561

    28 กันยายน 2561 | Economic News

• ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ ท่ามกลางตลาดที่ได้รับแรงหนุนจากโอกาสที่เฟดจะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่ค่าเงินยูโรวิตกกังวลเกี่ยวกับงบประมาณอิตาลี

ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.7% ที่ระดับ 94.875 จุด

• นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโสจาก Western Union Business Solutions กล่าวว่า แนวทางการคุมเข้มทางการเงินของเฟดเป็นปัจจัยหลักที่หนุนค่าเงินดอลลาร์ แต่การที่เฟดมีคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับตัวลงของเงินเฟ้อในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็เป็นปัจจัยที่จำกัดการปรับขึ้นของดอลลาร์ได้

• ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.7% ที่ระดับ 1.1653 ดอลลาร์/ยูโร หลังไปทำระดับต่ำสุดบริเวณ 1.1643 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 19 ก.ย. หลังมีรายงานจากหนังสือพิมพ์อิตาลี รายงานว่า การประชุมงบประมาณของอิตาลีอาจถูกเลื่อนออกไป จึงทำให้เหล่าเทรดเดอร์วิตกกังวลว่าอาจเกิดการเห็นเป้างบประมาณขาดดุลที่ใหญ่ขึ้น

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง หลังมีแหล่งข่าวจากสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลอิตาลีตั้งเป้าหมายยอดขาดุลปีหน้าไว้ที่ 2.4% ของจีดีพี

• ผลการประกาศข้อมูลจีดีพีไตรมาสที่ 2 ของสหรัฐฯออกมาเป็นที่แน่ชัดและยืนยันว่าจีดีพีมีการขยายตัวได้อย่างรวดเร็วในอัตราที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 4 ปีที่ระดับ 4.2% และข้อมูลล่าสุดได้ช่วยหนุนคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯไตรมาสที่ 3 ว่าจะออกมาดีกว่า 3% ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ทีมบริหารของนายทรัมป์ประเมินไว้

• คำสั่งซื้อสินค้าใหม่ของสหรัฐฯมีการปรับตัวลงในเดือนส.ค. หลังจากที่ปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา แต่ข้อมูลดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้ตลาดเปลี่ยนแปลงคาดการณ์ที่ว่าการใช้จ่ายภาคธุรกิจจะยังแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3

• รายงานจาก CNBC ระบุว่า ปัญหาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนนอกจากจะสร้างความปั่นป่วนทางการค้าแล้วยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการทหารของทั้งสองประเทศด้วย โดยจีนยกเลิกความสัมพันธ์ทางทหารกับกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่ดูจะเป็นผลมาจากข้อขัดแย้งทางการค้า และยังมีรายงานว่า ผู้บังคับบัญชานาวิกโยธินของจีนได้มีการยกเลิกการจะเดินทางเยือนสหรัฐฯในสัปดาห์นี้ และยังปฏิเสธไม่ให้เรือรบสหรัฐฯ USS Wasp จอดเทียบท่าเรือฮ่องกงด้วย

• นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด ให้สัญญาณครั้งใหม่ต่อตลาดการเงินเมื่อคืนนี้ โดยระบุถึง การจับตาไปยังข้อมูลแรงงาน, ค่าแรง และเงินเฟ้อ ที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ไม่ใช่มาจากคำพูดหรือเพียงการคาดการณ์ของเฟดเอง และนี่ถือเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเฟดที่จะยุตินโยบายผ่อนคลายการเงินที่ใช้พยุงเศรษฐกิจในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติทางการเงินที่ผ่านมา

นอกจากนี้ เขายังระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯไม่มีแนวโน้มจะเผชิญภาวะถดถอยครั้งใหญ่ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ดังนั้น เฟดจึงจะยังคงแนวทางการขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป

• นายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบี เมื่อวานนี้ ไม่ได้มีการกล่าวถ้อยแถลงใดๆเกี่ยวกับแนวโน้มของนโยบายการเงินในระยะสั้น รวมทั้งการพูดคุยถึงการใช้เครื่องมือในลักษณะ Macroprudential หรือการดูแลเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและระบบเศรษฐกิจ แต่ยังคงมีการกล่าวย้ำถึงเศรษฐกิจยุโรปมีการขยายตัวได้มากที่สุดในรอบกว่า 5 ปี ท่ามกลางระดับราคาที่มีเสถียรภาพ และการใช้นโยบายการเงินที่ได่วยหนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืนในเวลานี้

• สรุปรายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า สมาชิกบีโอเจมีการหารือกันในเดือนก.ย. เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะถอนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหรือปรับนโยบายการเงินให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

• ผู้ว่าการธนาคารกลางแคนาดา กล่าวว่า ธนาคารกลางแคนาดาจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าเศรษฐกิจจะเผชิญกับความไม่แน่นอน และธนาคารกลางไม่ต้องการให้ภาวะเงินเฟ้อนั้นสูญเสียการปรับตัวขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าธนาคารกลางแคนาดาจะทำการคงดอกเบี้ยเพื่อรอให้เงินเฟ้อเริ่มปรับตัว

ทั้งนี้ ธนาคารกลางแคนาดามีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้วจำนวน 4 ครั้ง นับตั้งแต่เดือนก.ค.ปี 2017 โดยตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะเห็นธนาคารกลางแคนาดาทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในวันที่ 24 ต.ค.นี้

• รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า ทางแคนานายังยืนยันที่จะหารือต่อแผนเพื่ออยู่ในข้อตกลง NAFTA แม้ว่านายทรัมป์จะมีการกล่าววิจารณ์ถึงความคืบหน้าที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ และมีความชัดเจนว่าการเจรจาจะยังเดินหน้าต่อจนกว่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ

• ผลสำรวจจากกระทรวงพาณิชย์ของอังกฤษหรือ BCC เผยว่า กว่า 1 ใน 5 ของบริษัทอังกฤษอาจได้รับผลกระทบจากกรณี Brexit ที่ปราศจากข้อตกลงหรือ “No-deal” กับทางอียู

โดยจะเห็นได้ว่า ค่อนข้างแน่ชัดที่ข้อตกลงในเชิงการเมืองระหว่างอังกฤษและยุโรปยังคงล้มเหลว จึงอาจส่งผลให้ภาคการลงทุนและการสรรหาบุคคลเพื่อเข้าทำงานนั้นปรับตัวลง ดังนั้น รัฐบาลอังกฤษต้องรีบดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้เกิดข้อตกลงร่วมกันโดยสมบูรณ์

• ขณะที่สถาบันวิจัย GfK เผยว่า กลุ่มผู้บริโภคชาวอังกฤษมีความสูญเสียความเชื่อมั่นในช่วงต้นเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ก่อนที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษจะยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลง Brexit ในการเจรจารอบล่าสุดได้ ขณะที่ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจยังคงปรับตัวขึ้นได้

• ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวขึ้นโดยได้รับอานิสงส์จากภาวะอุปทานน้ำมันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มจะปรับลดลง จากกรณีที่สหรัฐฯจะทำการคว่ำบาตรอิหร่านซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันหลักรายใหญ่ในอีก 5 สัปดาห์ข้างหน้า

ขณะที่กลุ่มนักวิเคราะห์มีมุมมองว่า โอเปก และรัสเซียยังไม่มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนกำลังการผลิตเพิ่ม แม้นายทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะมีการร้องข

สัญญาน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 59 เซนต์ ที่ระดับ 81.38 เหรียญ/บาร์เรล และเมื่อวานมีการทำ High ที่ 81.9 เหรียญ/บาร์เรล แต่ก็ยังอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดที่ทำไว้เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาที่ระดับ 82.55 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 55 เซนต์ ที่ระดับ 72.12 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com