• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 19 กันยายน 2561

    19 กันยายน 2561 | Economic News
• ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนและค่าเงินยูโร ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน หลังมีรายงานว่าจีนจะทำการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯมูลค่า 6 หมื่นล้านเหรียญเพื่อเป็นการตอบโต้สหรัฐฯที่กำลังจะปรับเพิ่มภาษีจีนสู่ระดับ 2 แสนล้านเหรียญ

นอกจากนี้ บรรดาเหล่าเทรดเดอร์ยังให้ความสนใจไปยังการประชุมเฟดสัปดาห์หน้าที่คาดว่าจะทำการขึ้นดอกเบี้ยต่อไป รวมทั้งรอสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตของเฟดด้วย

ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้นมาทรงตัวที่ 94.640 จุด ขณะที่ค่าเงินเยนทรงตัวบริเวณ 112.35 เยน/ดอลลาร์

• เจ้าหน้าที่ซื้อขายค่าเงินสกุลต่างประเทศอาวุโสจาก Silicon Bank มองว่า ในระยะสั้นๆ ประเด็น Trade War อาจส่งผลบวกต่อค่าเงินดอลลาร์ได้บ้าง แต่ระยะยาวอาจจะมีความกังวลครั้งใหญ่และส่งผลลบต่อดอลลาร์ เนื่องจาก Trade War จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั้งหมด

• ING ประเมินว่า 2.5% ของการค้าโลกจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และอาจพุ่งสูงถึง 4% ได้หากว่า นายทรัมป์ ยังคงคุกคามจีนด้วยการปรับขึ้นสินค้าทุกชนิดของจีน

• รัฐบาลจีนประกาศออกนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เพื่อเป็นการตอบโต้มูลค่า 6 หมื่นล้านเหรียญ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็นมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญเมื่อวานนี้

นโยบายขึ้นภาษีครั้งล่าสุดของสหรัฐฯจะทำการขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 10% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 ก.ย. นี้ และอัตราภาษีดังกล่าวจะทยอยปรับขึ้นสู่ระดับ 25% ภายในช่วงสิ้นปี 2018

ขณะที่นโยบายขึ้นภาษีตอบโต้ของจีนครั้งนี้ จะครอบคลุมสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯทั้งหมด 5,207 รายการ ตั้งแต่ ก๊าซธรรมชาติ อากาศยานบางประเภท ผงโกโก้ และผักแช่แข็ง ด้วยระดับภาษี 5 – 10% แตกต่างจากเดิมที่ขึ้นภาษีตอบโต้ด้วยอัตราตั้งแต่ 5, 10, 20, และ 25%

• รายงานสื่อจากจีน ระบุว่า จีนไม่ได้มีความกังวลใดๆต่อมาตรการที่เพิ่มขึ้นหรือรุนแรงมากขึ้นของสหรัฐฯที่คุกคามจีนในแง่ของ Trade War และจีนจะใช้โอกาสเพื่อทดแทนการนำเข้าด้วยการสนับสนุนและส่งเสริมสินค้าท้องถิ่น รวมทั้งเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยีขั้นสูง

• รายงานจาก CNBC ระบุว่า ปริมาณการถือครองตราสารหนี้,ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯของจีนปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 6 เดือนที่ 1.171 ล้านล้านเหรียญในเดือนก.ค. จากระดับ 1.178 ล้านล้านเหรียญในเดือนมิ.ย. และข้อมูลล่าสุดเป็นการบ่งชี้ว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จีนเลือกใช้ตอบโต้สหรัฐฯที่มีข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างกัน ขณะที่นักกลยุทธ์ในตลาดบางส่วนมองว่า จริงๆแล้วจีนกำลังพยายามส่งสัญญาณบางอย่างเนื่องจากปกติจีนจะมีการถือครองตราสารหนี้สหรัฐฯมากที่สุด

นักกลยุทธ์บางราย กล่าวว่า จีนมีแนวโน้มจะตอบโต้สหรัฐฯด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯในอัตราที่เท่ากันๆ ขณะที่บางส่วนมองว่า จีนน่าจะใช้ค่าเงินมาเป็นอาวุธในการโต้กลับก่อนที่จะปรับลดการถือครองพันธบัตร

• CEO ประจำสถาบันการเงิน First Eastern Investment Group ของฮ่องกง ระบุว่า ตลาดการเงินเริ่มเชื่อว่าผู้นำสหรัฐฯอาจจะดำเนินการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนทั้งหมดตามที่ได้ขู่ไว้ ขณะที่จีนก็น่าจะเตรียมพร้อมรับมือเช่นกัน และตลาดการเงินน่าจะยังมีความวิตกกังวลต่อไป จึงอาจส่งผลให้นักลงทุนในตลาดมีการปิดสถานะ และถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย

• ธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือบีโอเจถูกคาดการณ์ว่าจะทำการคงนโยบายในการประชุมวันนี้ และจะยังคงมุมมองเชิงบวกของเศรษฐกิจ แม้ว่าความตึงเครียดทางการค้าระดับโลกอาจคุกคามการขยายตัวของญี่ปุ่นได้

• วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติโหวตอย่างเป็นเอกฉันท์ในการผ่านร่างงบประมาณค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่จำนวน 6.75 แสนล้านเหรียญสำหรับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ รวมทั้งเป็นมาตรการเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐยังคงเปิดทำการได้ถึง 7 ธ.ค.นี้ รวมทั้งเป็นแนวทางในการหลีกเลี่ยงภาวะ Shutdown ของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 30 ก.ย.

ทั้งนี้ วุฒิสภาโหวต 9 ต่อ 7 สำหรับแพ็คเกจงบประมาณ 8.55 แสนล้านเหรียญ เพื่อเป็น 2 ร่างค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่ประจำปี ในส่วนของภาคแรงงาน, กระทรวงสาธารณสุขและการบริการประชาชน รวมถึงกระทรวงศึกษาธิการ และกลาโหมด้วย

• นายมุน แจ-อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ร่วมด้วย นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เตรียมร่วมประกาศเดินหน้าแผนปลดอาวุธนิวเคลียร์ต่อ หลังจากที่ทั้ง 2 ผู้นำได้มีการประชุมร่วมกันเมื่อวานนี้

ทั้งนี้ รายงานอย่างเป็นทางการของการประชุมครั้งล่าสุดระหว่างทั้ง 2 ผู้นำชาติเกาหลี ที่จะเปิดเผยในวันพุธนี้ อาจเพิ่มความชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือตามที่ให้คำสัญญากับสหรัฐฯไว้

• นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า อังกฤษและยุโรปใกล้บรรลุข้อตกลงร่วมกันสำหรับกรณี Brexit แล้ว พร้อมเรียกร้องให้ทางคณะกรรมาธิการยุโรปทำการพิจารณาข้อตกลงครั้งนี้

• รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า กลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจและการเมืองกำลังสร้างแรงกดดันเพิ่มขึ้นแก่นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีของแคนาดา ให้ยอมรับข้อตกลง NAFTA ฉบับใหม่และปรับลด ท่าทีแข็งกร้าวของเขาที่จะไม่ยอมมีข้อตกลงใดๆที่ดีกว่าแย่

ทางด้านรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของแคนาดา จะเข้าสู่การเจรจาข้อตกลง NAFTA กับทางผู้แทนทางการค้าสหรัฐฯอีกครั้งในวันนี้เพื่อให้บรรลุข้อตกลงได้ก่อนกำหนดเส้นตายที่สหรัฐฯกำหนดไว้วันที่ 1 ต.ค.

• ราคาน้ำมันดิบปิดปรับขึ้นได้กว่า 1% ท่ามกลางสัญญาณที่ว่ากลุ่มโอเปกอาจจะไม่เตรียมการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นในขณะที่อุปทานน้ำมันดิบในอิหร่านกำลังปรับตัวลง ขณะที่ทางซาอุดิอาระเบียส่งสัญญาณว่าเข้าใกล้ระดับราคาเป้าหมายในปัจจุบันที่ 70-80 เหรียญ/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบ Brent ปิดขึ้น 98 เซนต์ คิดเป็น +1.3% ที่ระดับ 79.03 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 94 เซนต์ คิดเป็น +1.4% ที่ระดับ 69.85 เหรียญ/บาร์เรล

• รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า ซาอุดิอาระเบียพึงพอใจต่อการที่ราคาน้ำมันดิบยืนเหนือ 80 เหรียญ/บาร์เรล แต่ไม่ต้องการให้สูงมากไปกว่านี้ในระยะยาว เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯที่จะส่งผลต่อกลุ่มปิโตรเลียมของอิหร่านตั้งแต่ 4 พ.ย. เป็นต้นไป

• รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของรัสเซีย กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบที่ระหว่าง 70-80 เหรียญ/บาร์เรลนั้นจะเกิดขึ้นเป็นการชั่วคราวเท่นั้นจากประเด็นการคว่ำบาตร โดยระยะยาวราคาน้ำมันดิบน่าจะทรงตัวได้แถว 50 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com