• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 17 กันยายน 2561

    17 กันยายน 2561 | Economic News
• ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวบริเวณ 94.911 จุด เหนือระดับสูงสุดของวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 94.359 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือนครึ่ง ท่ามกลางตลาดค่าเงินที่เคลื่อนไหวค่อนข้างทรงตัว เนื่องจากบรรดานักลงทุนกำลังจับตาความคืบหน้าของ Trade war ระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยที่ทางสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะประกาศขึ้นภาษีจีนอย่างเร็วที่สุดภายในวันนี้

ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินเยนทรงตัวบริเวณ 111.98 เยน/ดอลลาร์ หลังจากที่ขึ้นไปทำระดับสูงสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 112.16 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งยังเป็นระดับอ่อนค่าที่สุดของเงินเยนนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ก.ค. โดยตลาดญี่ปุ่นปิดในวันนี้ เนื่องในวันผู้สูงอายุ

ด้านค่าเงินหยวนเคลื่อนไหวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ที่บริเวณ 6.87 หยวน/ดอลลาร์ เมื่อธนาคารกลางจีนจะกำหนดค่ากลางของเงินหยวนวันนี้ไว้ที่ 6.86 หยวน/ดอลลารืก็ตาม

สำหรับค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 1.1724 ดอลลาร์/ยูโร ลงมาบริเวณ 1.1633 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินปอนด์ก็อ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ 1.3145 ดอลลาร์/ปอนด์ ลงมาที่บริเวณ 1.3076 ดอลลาร์/ปอนด์

• Heenam Choi ประธานบริษัท Korea Investment Corporation กล่าวเตือนว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน อาจเป็นชนวนก่อให้เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่ และความขัดแย้งดังกล่าวก็ไม่มีท่าทีว่าจะสามารถจบสิ้นลงได้ง่ายๆ

นอกจากนี้ หากการส่งออกของจีนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ เศรษฐกิจเกาหลีใต้ก็จะได้รับผลกระทบตามมาเช่นกัน

• ประธานเครือธนาคาร UBS ระบุว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน แม้จะมีการประกาศขึ้นภาษีสินเข้าตอบโต้กันไปมา แต่ก็ยังไม่ถือว่าทั้ง 2 ประเทศได้เข้าสู่ภาวะสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบ และหากทั้ง 2 ฝ่ายยังคง “มีสติ“ ความขัดแย้งครั้งนี้ก็อาจจบสิ้นลงโดยไม่มีใครเสียหายมากไปกว่านี้ได้

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางการค้าได้ส่งกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศไปมากกว่าด้านการค้า ซึ่งตอนนี้ภาคคบริการก็กำลังได้รับผลกระทบ

• Dani Rodrik ศาสตราจารย์ประจำ Harvard University กล่าวว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนถูกกำหนดว่าจะต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ช้าก็เร็ว โดยไม่เกี่ยวกับว่าจะมีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ตาม พร้อมระบุว่า ดูเหมือนหลายๆฝ่ายจะให้ความสำคัญกับนายทรัมป์ผิดไป

• รายงานจาก Reuters ระบุว่า รัฐบาลจีนอาจไม่ยอมเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียวในสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ท่ามกลางนโยบายภาษีชุดใหม่ของสหรัฐฯที่อาจถูกประกาศออกมาอย่างเร็วที่สุดในวันจันทร์นี้

นอกจากนี้ รายงานจาก Wall Street Journal ยังได้ระบุอีกว่า รัฐบาลจีนอาจพิจารณายกเลิกการเจรจาการค้าร่วมกับสหรัฐฯหากสหรัฐฯทำการเดินหน้าขึ้นภาษีจากจีนอีกครั้ง

• CEO จาก Korea Investment Corporation (KIC) กล่าวกับสำนักข่าว CNBC โดยระบุว่า ปัญหาเศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่และปัญหา Trade War ที่ยังดำเนินระหว่างสหรัฐฯและจีนอาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นสำหรับวิกฤตทางการเงินครั้งต่อไป ในจังหวะที่เศรษฐกิจโลกมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และเฟดรวมถึงธนาคารกลางอื่นๆกำลังพิจารณาแนวทางการคุมเข้มทางการเงิน ซึ่งอาจนำไปสู่สภาวะสภาพคล่องตึงตัว "Liquidity squeeze" ในตลาดเกิดใหม่บางแห่งได้

ขณะที่ Liquidity squeeze เป็นพื้นฐานเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่เข้าสู่สภาวะตึงตัว และการกู้ยืมกลายมาเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากขึ้น รวมทั้งเผชิญกับภาวะการอุปโภคบริโภคและการลงทุนที่ลดลง และทั้งหมดนี้จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

• นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวเตือน ส.ส. ในพรรคที่ไม่สนับสนุนแนวคิดของเธอในกรณี Brexit โดยระบุว่า อีกหนทางหนึ่งสำหรับการเจรจากับอียู คือการที่ไม่มีข้อตกลงใดๆกับอียูเลย (No deal)

ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่ทำให้การเจรจา Brexit กับสหภาพยังคงยืดเยื้อมาจนทุกวันนี้ คือการทำให้แน่ใจได้ว่าจะไม่มีการแบ่งเขตชายแดนที่เข้มงวดระหว่างไอร์แลนด์เหนือและสาธารณรัฐไอริชภายหลังการ Brexit ขณะที่รายงานจาก The Times ระบุว่า นายไมเคิล บาร์เนียร์ หัวหน้าทีมเจรจา Brexit จากอังกฤษ กำลังเขียนร่างข้อเสนอใหม่สำหรับการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยคัดกรองคนเข้าประเทศในบริเวณชายแดนของอังกฤษ
·         บรรดารัฐมนตรีกระทรวงการค้าและภาคการลงทุนจากกลุ่มประเทศ G20 กล่าวถึงความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ต้องมีการปรับปรุงข้อกำหนดในองค์การการค้าโลก (WTO) ท่ามกลาง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯที่จะเรียกเก็บภาษีจีนอีก 2 แสนล้านเหรียญ โดยกล่าวว่าการเพิ่มภาษีจะยิ่งเป็นอุปสรรคต่อการค้าระดับโลก

อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการเตรียมรายละเอียดใดๆเพิ่มเติมถึงความเป็นไปได้ที่ WTO จะปฏิรูปหรือมีการกล่าวถึงประเด็นการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น

·         ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นหลังจากที่ปรับร่วงลงในช่วงตลาดก่อนหน้า แม้ว่าทางสหรัฐฯจะออกมาให้การยืนยันว่าทางสหรัฐฯ รวมถึงซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้มากพอที่จะพยุงปริมาณอุปทานให้เพียงพอต่อความต้องการน้ำมันหลังการคว่ำบาตรอิหร่านมีผลบังคับใช้ก็ตาม

โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 25 เซนต์ ที่บริเวณ 78.34 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ปรับลงมา 0.2% ในช่วงตลาดก่อนหน้า  ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 28 เซนต์ ที่บริเวณ 69.27 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ปรับลงมา 20 เซนต์ ในช่วงตลาดก่อนหน้า 



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com