• นักวิเคราะห์จาก JPMorgan กล่าวเตือนว่า วิกฤติการเงินโลกครั้งใหม่จะเกิดขึ้นในปี 2020 แต่จะเป็นวิกฤติที่ไม่รุนแรงเท่าในอดีตที่ผ่านมา แต่ข่าวร้ายคือ สภาพคล่องในตลาดเงินและตลาดทุนกำลังปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดวิกฤติการเงินโลกปี 2008 จะเป็นปัจจัยลบที่อาจไม่หมดไปโดยง่าย
ขณะที่แบบจำลองเตือนภัยวิกฤติการเงิน ซึ่งพิจารณาจากตัวแปรที่สำคัญ อาทิเช่น ความยาวนานของการขยายตัวของเศรษฐกิจ ช่วงเวลาที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ระดับหนี้ในระบบเศรษฐกิจ และระดับการผ่อนคลายการกำกับดูแลภาคการเงิน และนวัตกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นก่อนวิกฤติ พบว่า มีความเป็นไปได้ที่วิกฤติการเงินจะเกิดขึ้นในปี 2020
อย่างไรก็ดี สิ่งที่อาจเกิดขึ้นคือดัชนีในตลาดหุ้นสหรัฐฯอาจปรับตัวลงประมาณ 20% ขณะที่ตราสารหนี้ภาคเอกชนสหรัฐฯจะมีค่าความเสี่ยงสะท้อนในอัตราดอกเบี้ยราว 1.15% ทางด้านกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มพลังงานอาจลดลง 35% และราคาสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มโลหะอาจลดลง 29% ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลตลาดเกิดใหม่กับตลาดที่พัฒนาแล้วจะอยู่ที่ 2.79% ราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดเกิดใหม่จะลดลง 48% และค่าเงินสกุลเงินตลาดเกิดใหม่จะอ่อนค่าลง 14.4%
• เจ้าหน้าที่ทางการทูตระดับสูงจากประเทศจีน กล่าวว่าระบบขององค์การการค้าโลก (WTO) ยังมีจุดบกพร่อง และควรได้รับการแก้ไขเพื่อให้มีความยุติธรรมและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยจีนพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการปฏิรูประบบของ WTO
• ธนาคารกลางฝรั่งเศสปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจฝรั่งเศสลงที่ระดับ 1.6% ในปี 2020 ท่ามกลางอัตราว่างงานที่ยังมีแนวโน้มจะปรับตัวลง ขณะที่ปีนี้จะขยายตัวได้ 1.8% และปีหน้าขยายได้ 1.7% จากอุปสงค์ภายนอกประเทศที่่น่าจะอ่อนตัวจากคาดการณ์ก่อนหน้า
ทางด้านอีซีบีมีการคาดการณ์ทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจในยูโรโซน โดยมองว่าปีนี้จะขยายตัวได้ 2.0% และ 1.8% ในปีหน้า ขณะที่ปี 2020 จะขยายตัวได้ 1.7%
ผู้ว่าการฝรั่งเศสมองว่า การที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของฝรั่งเศสชะลอตัวมาจากฝรั่งเศสยังคงมีการปฏิรูปที่ล่าช้า
• นางนิกกี้ ฮาเรย์ เอกอัคราชทูตประจำองค์การสหประชาชาติแห่งสหรัฐฯ กล่าวโทษรัสเซียว่าเป็นผู้คอยปิดบังให้เกาหลีเหนือเกี่ยวกับการละเมิดการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ (U.N.) ขณะที่บรรดาคณะกรรมาธิการประจำ U.N. มีกำหนดการจะประชุมร่วมกันเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือที่สหรัฐฯเป็นผู้เสนอภายในวันจันทร์นี้
• ผลสำรวจจากรอยเตอร์ แสดงให้เห็นว่ายอดส่งออกของญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะขยายตัวได้ แม้ว่าจะเผชิญกับความตึงเครียดทางการค้าโลกที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าเดือนส.ค. ยอดส่งออกจะขยายตัวได้ 5.6% หลังจากเดือนก.ค.ที่ขยายตัวได้ 3.9% ทางด้านยอดนำเข้าคาดจะขยายตัวได้ 14.9% จากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และอาจส่งผลให้ญี่ปุ่นมียอดขาดดุลการค้าแตะ 4.687 แสนล้านเยน (4.19 พันล้านเหรียญ) ในเดือนส.ค.
• เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ร่วมกันก่อตั้งสำนักงานติดต่อประสานงานขึ้นในพื้นที่เกาหลีเหนือที่อยู่ติดกับเขตชายแดนระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกต่อแนวโน้มที่ทั้ง 2 ชาติเกาหลีจะสามารถหยุดยั้งความขัดแย้งที่ดำเนินมายาวนานหลายทศวรรษได้ในที่สุด
• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น หลังจากร่วงลงในช่วงก่อนหน้านี้ โดยราคาลดลงมากที่สุดในเดือนนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาวะอุปทานจากความกังวลวิกฤตตลาดเกิดใหม่และประเด็นการค้าอาจกดดันปริมาณความต้องการน้ำมัน
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิน Brent เพิ่มขึ้น 3 เซนต์ ที่ระดับ 78.21 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 18 เซนต์ ที่ระดับ 68.76 เหรียญ/บาร์เรล