· ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวลงใกล้ระดับต่ำสุดรอบ 1 ปีครึ่งเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ หลังจากที่ข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯออกมาแย่กว่าที่คาด และส่งผลต่อมุมมองของเหล่าเทรดเดอร์ต่อทิศทางการขยายตัวของเงินเฟ้อ ขณะที่สัญญาณข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนดูจะบรรเทาลงหลังจากที่สหรัฐฯมีการส่งจดหมายเชิญจีนกลับมาเจรจาการค้าอีกครั้ง และทั้งหมดนี้ได้เป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันให้แก่ค่าเงินดอลลาร์
ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวลงหลุดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย Moving Average ราย 100 วัน จึงทำให้ภาพรวมของค่าเงินดอลลาร์กลับมามีสัญญาณขาลงอีกครั้ง และเคลื่อนไหวใกล้ระดับต่ำสุดรอบ 6 สัปดาห์บริเวณ 94.428 จุด โดยเมื่อคืนนี้ปิดตลาด -0.26% ที่ 94.551 จุด
ค่าเงินยูโรปรับขึ้นไปทำระดับแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 1.17010 ดอลลาร์/ยูโร ก่อนจะอ่อนค่าลงมาเล็กน้อย โดยภาพรวมปิดตาด +0.54% ที่ระดับ 1.16900 ดอลลาร์/ยูโร
ทางด้านค่าเงินปอนด์ทำระดับสูงสุดรอบ 6 สัปดาห์ที่ 1.3124 ปอนด์/ดอลลาร์ และปิดตลาด +0.44% ที่ 1.3105 ดอลลาร์/ปอนด์
· เมื่อวานนี้ทั้งธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) หรือธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) ยังคงนโยบายดอกเบี้ยตามคาด โดยที่อีซีบีส่งสัญญาณเช่นเดิมว่าจะมีการถอนนโยบายการเข้าซื้อพันธบัตรในช่วงสิ้นปีนี้ ขณะที่การประชุมของบีโออียังมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็น Brexit
· ธนาคารกลางตุรกีปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อวานนี้อีก 6.25% สู่ระดับ 24% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดภายใต้การดำเนินนโยบายการเงินของประธานาธิบดีตุรกี โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวได้ส่งผลให้ค่าเงินลีราปรับแข็งค่าขึ้น 3.99% ที่ระดับ 6.60921 ลีรา/ดอลลาร์ หลังจากที่ค่าเงินลีราไปทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนส.ค. ที่ 7.24 ลีรา/ดอลลาร์
· ผลการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯเมื่อวานนี้ พบว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคปรับตัวขึ้นได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ในเดือนส.ค. ที่ระดับ 0.2% ขณะที่ภาพรวมรายปี CPI ขยายตัวได้ 2.7% ลดลงจากภาพรวมรายปีในเดือนก.ค.ที่ 2.9% ท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของราคาแก๊สโซลีน และค่าเช่า จึงชดเชยกับการร่วงลงของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและเครื่องนุ่งห่ม รวมทั้งสะท้อนว่าแรงกดดันเงินเฟ้อสหรัฐฯกำลังชะลอตัว
ข้อมูลดัชนี Core CPI ที่ไม่รวมค่าความผันผวนในภาคอาหารและพลังงานออกมาน้อยกว่าคาดเช่นกันที่ 0.1% และภาพรวมรายปีในเดือนส.ค. ขยายตัวได้ 2.2% หลังจากที่ภาพรวมรายปีเดือนก.ค. ขยายตัวได้มากกว่าที่ 2.4%
ดัชนีราคาผู้บริโภคจะขยายตัวน้อยกว่าที่คาดแต่เงินเฟ้อก็ดูจะยังได้รับอานิสงส์จากความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ โดยเมื่อวานนี้ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ปรับตัวลงเกินคาดใกล้ระดับต่ำสุดรอบ 49 ปี
· สำหรับรายงานข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดดูจะขยายตัวไม่ค่อยดีนัก รวมไปถึงข้อมูลดัชนีราคาผู้ผลิตหรือ PPI ที่ประกาศเมื่อคืนวันพุธที่ปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปีครึ่งก็ดูจะไม่อาจเป็นอุปสรรคหรือทำให้เฟดเปลี่ยนแปลงแนวทางการตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 25-26 ก.ย.นี้ โดยเฟดน่าจะทำการขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่กรอบดอกเบี้ยนโยบายระหว่าง 2.00 – 2.25% หลังจากที่ปีนี้เฟดขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วถึง 2 ครั้ง ขณะที่การปรับขึ้นครั้งที่ 4 คาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.
· นายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้า ระบุว่า ความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานปราศจากแรงกดดันเงินเฟ้อ ดังนั้น เฟดจึงควรอดทนรอเพื่อพิจารณาต่อโอกาสการขึ้นดอกเบี้ย เป็นลักษณะ “Wait & See”
· รายงานล่าสุดจากสำนักข่าว China Daily ระบุว่า ทางการจีนจะไม่ยอมอ่อนข้อต่อข้อเรียกร้องทางการค้าใดๆของสหรัฐฯ แม้ว่าเจ้าหน้าที่จากจีนจะตอบรับคำเชิญของสหรัฐฯในการเจรจาทางการค้าร่วมกันครั้งใหม่
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯให้การสัมภาษณ์ว่าไม่มีแรงกดันใดๆในการเผชิญปัญหาทางการค้ากับจีน
· นายคาลอส เกอเทียเรซ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช กล่าวเตือนว่า นโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศจีนอาจกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจจีน และหากเศรษฐกิจจีนชะลอการเติบโตลงก็จะส่งกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก และเมื่อนั้นสหรัฐฯก็จะกลายเป็นฝ่ายที่เสียใจเอง
· นายจัสติน ทรูโด้ นายกรัฐมนตรีแคนาดา กล่าวว่า เขาต้องการให้ข้อตกลง NAFTA จบลงด้วยดีในเร็วๆนี้
· ตัวแทนสภาคองเกรสประกาศเลื่อนการจัดสรรงบประมาณการสร้างกำแพงพรมแดนออกไปหลังการเลือกตั้งของสหรัฐฯในวันที่ 6 พ.ย. ดังนั้น การหารืออีกครั้งน่าจะถูกเลื่อนออกไปในเดือนธ.ค.
ขณะที่กำหนดเส้นตายที่งบประมาณฉบับปัจจุบันจะสิ้นสุดลงใกล้เข้ามาทุกขณะในวันที่ 30 ก.ย. ซึ่งทางพรรครีพับลิกันและเดโมแครต ต่างแสดงถึงความร่วมมือกันอย่างมากเพื่อให้ยังมีงบประมาณสำหรับหน่วยงานภาครัฐ และพยายามหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหา Shutdown ก่อนเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพ.ย.
· คณะกรรมาธิการพิจารณาวิธีการจัดหารายได้แห่งสหรัฐฯร่วมโหวตร่างนโยบายปรับลดภาษีนิติบุคคลแบบถาวรที่พรรครีพับลิกันเป็นผู้เสนอด้วยคะแนนโหวต 21-15 และได้ส่งต่อไปยังสภาผู้แทนราษฎรสำหรับการลงมติอย่างเต็มรูปแบบอีกที ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในวันที่ 1 ต.ค. ก่อนที่จะส่งต่อไปยังวุฒิสภาที่คาดว่าจะไม่ลงมติให้ผ่านไปได้
อย่างไรก็ตาม นโยบายปรับลดภาษีครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นเพียงวิธีการหาเสียงสนับสนุนเพิ่มเติมให้กับรีพับลิกันก่อนที่จะถึงการเลือกตั้งกลางวาระในวันที่ 6 พ.ย. เท่านั้น
· รายงานจาก ABC News ระบุว่า นายพอล มานาฟอร์ท อดีตหัวหน้าทีมหาเสียงเลือกตั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังต่อรองคำรับสารภาพกับนายโรเบิร์ต มูลเลอร์ หัวหน้าคณะสืบสวนพิเศษ เกี่ยวกับกรณีแทรกแซงการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 โดยนายพอลมีแนวโน้มที่จะเจรจาได้สำเร็จ และคำรับสารภาพของเขาอาจได้รับการประกาศในการรายงานต่อศาลคืนวันศุกร์นี้
· นายพอล ไรอัน โฆษกประจำทำเนียบขาว ปฏิเสธที่จะตอบโต้สื่อเกี่ยวกับยอดผู้เสียชีวิตจากเฮอริเคนมาเรียที่รายงานอย่างเป็นทางการระบุไว้ที่ 3,000 ราย แต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวหาว่าพรรคเดโมแครตเป็นผู้แก้ไขตัวเลขดังกล่าวเพื่อทำให้เขาดูไม่ดี
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับลงกว่า 2% ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดลงจากระดับสูงสุดรอบ 4 เดือน ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ให้ความสนใจไปยังวิกฤตตลาดเกิดใหม่และข้อขัดแย้งทางการค้าที่อาจเป็นอุปสรรคต่ออุปสงค์น้ำมัน แม้ว่าภาวะอุปทานน้ำมันจะตึงตัว
น้ำมันดิบ Brent ปิดลง 1.56 เหรียญ คิดเป็น -2% ที่ระดับ 78.18 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ช่วงต้นตลาดไปทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 22 พ.ค. บริเวณ 80.13 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 1.78 เหรียญ คิดเป็น -2.5% ที่ระดับ 68.59 เหรียญ
อย่างไรก็ดี น้ำมันดิบทั้ง 2 ชนิดมีอัตราการปรับตัวลงระดับรายวันมากที่สุดในรอบ 1 เดือน