• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 7 กันยายน 2561

    7 กันยายน 2561 | Economic News

• ค่าเงินดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ปรับลดสถานะการลงทุนก่อนทราบรายงานการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯในเดือนส.ค. โดยดัชนีดอลลาร์อ่อนตัวลง 0.13% ที่ระดับ 95.061 จุด

• รายงานข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐฯแสดงให้เห็นว่ามีการจ้างงานออกมาน้อยกว่าที่คาดไว้ โดยล่าสุดอยู่ที่ 163,000 ตำแหน่ง หรือลดลงจากเดือนก.ค.ประมาณ 54,000 ตำแหน่ง

• หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics กล่าวว่า การจ้างงานอาจเริ่มมีสัญญาณชะลอตัวลงอีกครั้งหลังจากที่ช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวอย่างหนัก ขณะที่เฟดยังมีแนวโน้มจะทำการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในเดือนนี้ และข้อมูลเศรษฐกิจคืนนี้ ที่จะยังช่วยหนุนมุมมองการขึ้นดอกเบี้ย

• ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน หลังจาก CNBC รายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวกับ นักคอลัมนิสต์ของ Wall Street Journal โดยระบุว่า ญี่ปุ่นอาจเป็นเป้าหมายทางการค้ารายต่อไป และประเด็นดังกล่าวได้ส่งผลให้ค่าเงินเยนร่วงลงมาที่ 110.51 เยน/ดอลลาร์ ก่อนภาพรวมจะปิด -0.75% ที่ 110.69 เยน/ดอลลาร์

• สำนักข่าว WSJ รายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจมีแนวคิดที่จะแก้ไขปัญหาการขาดดุลทางการค้าร่วมกับญี่ปุ่นเป็นลำดับต่อไป โดยนายทรัมป์ได้กล่าวว่า “ผมมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้นำญี่ปุ่น แต่มันอาจจบลงในไม่ช้านี้ เพราะถึงเวลาแล้วที่พวกเขาต้องรู้ว่าพวกเขาติดเงินสหรัฐฯอยู่มากแค่ไหน”

• ผลสำรวจจาก Reuters ชี้ว่า ค่าเงินในกลุ่มตลาดเกิดใหม่เคลื่อนไหวอย่างร้อนแรงในช่วง 2-3 เดือน และอาจมีการดีดกลับได้บ้างเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ หลังจากที่ภาพรวมปีนี้มีการอ่อนค่าลงมากที่สุด โดยค่าเงินแรนด์ถูกคาดว่าปีนี้จะปิดปรับขึ้นได้เกือบ 10% ที่ระดับ 14 แรนด์/ดอลลาร์, ขณะที่ค่าเงินเรียลของบราซิลคาดว่าจะปรับขึ้นได้ 8% ที่ระดับ 3.79% ขณะที่ค่าเงินเปโซที่ถูกเทขายออกมาอย่างหนักก็อาจขยับขึ้นได้ 10% ที่ระดับ 34.135 เปโซ/ดอลลาร์

ซึ่งนักกลยุทธ์จาก Absa Capital กล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาจากข่าวร้ายที่กำลังเข้าสู่ตลาด แต่เราคิดว่าแรงเทขายค่าเงินแรนด์นั้นสิ้นสุดลงแล้ว และตลาดน่าจะกำลังผันผวนตามเงื่อนไขการใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินของธนาคารกลางต่างๆทั่วโลก

• ยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ของสหรัฐฯปรับตัวลงเกินคาดในเดือนก.ค. เพราะได้รับแรงกดดันจากอุปสงค์ความต้องการอุปกรณ์เครื่องบินที่ปรับตัวลง แต่ยังคงมีสัญญาณการใช้จ่ายในภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้นอยู่ จึงทำให้ภาพรวมสะท้อนว่าภาคการผลิตยังคงมีความแข็งแกร่

• จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สหรัฐฯปรับตัวลงใกล้ระดับต่ำสุดรอบ 49 ปี ท่ามกลางการจ้างงานภาคเอกชนที่ถึงแม้จะแย่ว่ากว่าที่คาดก็อยู่ในเกณฑ์ทรงตัว จึงยังบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน และตอกย้ำถึงภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างานออกมาดีกว่าคาด และปรับลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 10,000 ราย สู่ระดับ 203,000 ราย ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ธ.ค. ปี 1969

• นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก กล่าวว่า เงื่อนไขทางเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน ยังคงดีตามสมควร โดยเงินเฟ้อยังอยู่ระดับทรงตัวและอัตราว่างงานที่ยังคงอยู่ระดับต่ำเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดยังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป

• นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวว่า เฟดมีแนวโน้มจะทำการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อให้เศรษฐกิจยังคงมีการขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพ ประกอบกับให้เงินเฟ้อได้ปรับขึ้นตามเป้าหมาย

• นายอีริค โรเซ็นเกร็น ประธานเฟดสาขาบอสตัน กล่าวว่า เฟดยังไม่มีเครื่องมือเพียงพอที่จะต่อกรกับภาวะขาลงทางเศรษฐกิจในอนาคต นอกจากจะทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อเครื่องมือการลทุนที่เรามี

• รายงานจาก CNBC ระบุว่า ภาวะสงครามทางการค้าที่กำลังดำเนินไประหว่างสหรัฐฯ-จีนอาจจะทวีความรุนแรงมากขึ้นอีกครั้ง หลังมีรายงานว่า ทีมบริหารของนายทรัมป์อาจเผยภาษีเรียกเก็บสินค้านำเข้าจากจีนด้วยมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านเหรียญ โดยอาจเปิดเผยข้อมูลในช่วงเที่ยงวันนี้ตามเวลาฮ่องกง หรือประมาณ 11.00น. ตามเวลาไทย โดยทางการจีนก็พร้อมจะทำการตอบโต้หากมีการประกาศจริง

• รัฐมนตรีกระทรวงการคลังจีน กล่าวเตือนว่า จีนจะทำการตอบโต้ขั้นเด็ดขาดหากสหรัฐฯหากทำการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าฉบับใหม่ ท่ามกลางปัญหาทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศที่ยังคงตึงเครียดระหว่างกันและดูจะทำให้ Trade War ทวีความรุนแรงมากขึ้น

บรรดาที่ปรึกษาคนสนิทของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ร่วมกันออกมากล่าวปฏิเสธบทความของ New York Times ที่กล่าวตำหนิการบริหารงานของนายทรัมป์ และระบุว่ามีการทรยศนายทรัมป์เกิดขึ้นภายในบรรดาที่ปรึกษาระดับสูงอย่างเงียบๆ

โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนสนิททั้ง 8 คน ที่รวมถึงนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดี นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ และนายเจมส์ แมททิส รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ออกมากล่าวปกป้องนายทรัมป์และตำหนิผู้เขียนตลอดจนสำนักพิมพ์ New York Timesที่ตีพิมพ์บทความดังกล่าวออกมาเมื่อวานนี้

• นายพอล ไรอัน โฆษกประจำทำเนียบขาว ระบุว่า นายทรัมป์ยังคงต้องการสนับสนุนงบประมาณของรัฐบาลไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. ซึ่งเป็นเดดไลน์ของการลงมติร่างงบประมาณ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ นายทรัมป์จะออกมาข่มขู่ว่าจะ Shut down รัฐบาล หากสภาไม่อนุมัติงบประมาณสำหรับการก่อสร้างกำแพงชายแดนก็ตาม

• รายงานจากสหรัฐฯระบุว่า การเจรจาภายใต้สนธิสัญญา NAFTA ระหว่างสหรัฐฯและแคนาดาเมื่อคืนนี้ สามารถดำเนินต่อไปได้ แต่ยังคงไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในหัวข้อสำคัญที่ยืดเยื้อมานานอย่าง การค้าผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนม, นโยบายปกป้องสื่อ, และการแก้ไขปัญหาทางการค้าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ รายงานได้ระบุอีกว่า ยังคงไร้ความชัดเจนว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ก่อนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะตัดสินใจเดินหน้าสนธิสัญญา NAFTA ที่มีแค่สหรัฐฯและเม็กซิโกเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งแคนาดาได้ระบุว่า การเจรจากับสหรัฐฯในวันที่ 2 สามารถดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ยังคงไม่พึงพอใจเกี่ยวกับนโยบายขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมของสหรัฐฯ พร้อมระบุว่านโยบายดังกล่าวไม่ควรเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาNAFTA

• นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เปิดเผยกำหนดการสำหรับการปลดอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรก โดยกำหนดไว้ให้สามารถปลดอาวุธนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ได้ก่อนที่จะหมดวาระประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงต้นปี 2021 พร้อมกล่าวขอบคุณนายทรัมป์ที่เคยให้คำมั่นว่า “เราจะทำให้สำเร็จไปด้วยกัน”

ทั้งนี้ นายคิมมีกำหนดการจะพบกับนายมุน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 18 - 20 ก.ย. นี้ เพื่อเจรจาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์

อย่างไรก็ตาม ยังคงไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ จึงทำให้เจ้าหน้าที่บางคนในรัฐบาลสหรัฐฯไม่เชื่อว่าเกาหลีเหนือดำเนินการดังกล่าวจริง

• ค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนของญี่ปุ่นขยายตัวได้ 0.1% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่ปรับตัวลงติดต่อกัน 5 เดือน ท่ามกลางความหวังของบรรดาสมาชิกบีโอเจที่ว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของบีโอเจจะเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ ขณะที่ความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานเป็นส่วนช่วยให้ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น

• ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงกว่า 1% หลังจากที่ปรับขึ้นมาได้จากการแข็งค่าของดอลลาร์และปริมาณอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง โดยราคาถูกกดดันลงมาหลังข้อมูลสต็อกน้ำมันของสหรัฐฯประกาศออกมาเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาดในเดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ราคาน้ำมัน WTI ปรับลดลง 95 เซ็นต์ คิดเป็น -1.3% ปิดตลาดที่ระดับ 67.77 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมัน Brent ปรับลดลง 77 เซ็นต์ คิดเป็น -1% ปิดตลาดที่ระดับ 76.50 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com