• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 4 กันยายน 2561

    4 กันยายน 2561 | Economic News

• ค่าเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดรอบ 1 สัปดาห์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ จากความตึงเครียดทางการค้าและแรงเทขายที่เกิดเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ จึงจุดประกายให้นักลงทุนเกิดความต้องการถือครองดอลลาร์

ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 95.12 จุด และยังคงอยู่ใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 27 ส.ค. โดยภาพรวมค่าเงินดอลลาร์ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเม.ย. ปรับแข็งค่าขึ้นมาประมาณ 7% จากความตึงเครียดทางการค้าที่เป็นปัจจัยหลัก

• บรรดานักลงทุนเกิดความกังวลเกี่ยวกับตลาดเกิดใหม่หลังจากที่มีกระแสเงินไหลออก ท่ามกลางวิกฤตทางการเงินที่เกิดขึ้นในอาร์เจนตินา และตุรกี โดยจะเห็นได้ถึงการร่วงลงของค่าเงินเปโซ ที่ปรับลงกว่า 4% เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์เมื่อวานนี้ ขณะที่ค่าเงินลีราของตุรกีก็อ่อนค่าลงอีก 2% และแรงกดดันดังกล่าวได้สร้างแรงกดดันไปทั่วตลาดเกิดใหม่ โดยค่าเงินรูปเปียของอินโดนิเซียก็ได้รับผลกระทบไปแตะระดับอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 20 ปี ขณะที่ค่าเงินรูปขของอินเดียปรับอ่อนค่าลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์

• ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.11% เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ หลังจากที่ข้อมูลภาคการผลิตของยูโรโซนชะลอตัวใกล้ระดับต่ำสุดรอบ 2 ปีในเดือนส.ค. ท่ามกลางมุมมองเชิงบวกที่ลดลงจากความตึงเครียดเกี่ยวกับ Trade War

• ผลสำรวจจาก Reuters คาดว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของบราซิลมีแนวโน้มจะชะลอตัวในเดือน ส.ค. ท่ามกลางแรงกดดันจากการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ช้าลง บ่งชี้ว่าธนาคารกลางบราซิลยังไม่จำเป็นต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างใด แม้ค่าเงินเรอัลของบราซิลกำลังเผชิญกับแรงเทขายก็ตาม

• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวตำหนินายริชาร์ด ทรัมก้า ประธานสมาคมเพื่อแรงงานที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ หลังจากที่นายทรัมก้าได้กล่าวว่า นโยบายของประธานาธิบดีได้สร้างความเสียหายต่อแรงงานในสหรัฐฯ

• นายเจนส์ เวียดแมน ประธานธนาคารกลางแห่งเยอรมนี แสดงความคิดเห็นว่า การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวเพียงแค่เล็กน้อยและชั่วคราวเท่านั้น

โดยประเด็นดังกล่าวเป็นสิ่งที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ยังคงถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบัน ว่าการพัฒนาของเทคโนโลยีเป็นปัจจัยกดดันให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกไม่สามารถขยายตัวได้ตามเป้า ซ้ำยังทำให้บรรดาธนาคารกลางทั่วโลกต่างออกนโยบายมากระตุ้นเศรษฐกิจมากเกินจำเป็นจริงหรือไม่ ซึ่งนายเจนส์ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าไม่เป็นความจริง

• ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานจาก Kliduff ระบุว่า การคว่ำบาตรอิหร่านอาจช่วยให้เราเห็นราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้นได้ถึง 30% ในช่วงฤดูหนาว และอาจทำให้ราคาต่อแกลอนไปแตะ 4 เหรียญได้ โดยไม่รวมการเพิ่มขึ้นของแก๊สโซลีน และอาจเห็นราคาน้ำมันดิบที่พุ่งแตะ 70 เหรียญได้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นได้ต่อในช่วง 1 เดือน หรือมีโอกาสเห็นน้ำมันดิบ WTI Break 75 เหรียญภายในสัปดาห์นี้

ขณะที่การขยายเวลาคว่ำบาตรอิหร่านที่ดูจะจำกัดตลาด อาจทำให้นักลงทุนเห็นราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent มีความเป็นไปได้ที่จะเคลื่อนไหวในกรอบ 85 – 95 เหรียญได้

• รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันและแก๊สของประเทศโอมาน มีความคิดว่าราคาน้ำมันดิบจะไม่สามรถ Breakout จากระดับ 70 เหรียญ/บาร์เรลได้ โดยช่วงที่เหลือของปีนี้ มองว่าราคาน้ำมันจะมีเสถียรภาพแถวระดับราคาที่ 70 เหรียญ/บาร์เรล หรือสูงกว่า หรืออาจต่ำกว่า 70 เหรียญ จนถึงระดับสูงสุดที่ 70 เหรียญ

อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบที่ 70-80 เหรียญ/บาร์เรล มีความเป็นไปได้ที่จะสร้างความน่าสนใจให้แก่การลงทุน ขณะที่คำถามที่ว่ามีโอกาสเห็นน้ำมันดิบแตะ 90 เหรียญ/บาร์เรลได้หรือไม่ โดยส่วนตัวเขาไม่คิดว่าจะเป็นไปได้

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com