• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 31 กรกฎาคม 2561

    31 กรกฎาคม 2561 | Economic News
• ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน หลังการประชุมบีโอเจที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินเพียงเล็กน้อยบางส่วน มากกว่าที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันตามที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้

โดยค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนทำระดับสูงสุดรายวันที่ 111.44 เยน/ดอลลาร์ หลังทราบผลการประชุม ก่อนที่ค่าเงินจะปรับย่อตัวลงมาเคลื่อนไหวบริเวณ 111.07 เยน/ดอลลาร์

ขณะที่ดัชนีดอลล่าร์ทรงตัวที่บริเวณ 94.313 จุด หลังอ่อนค่าลงมาจากระดับสูงสุดในรอบปีที่ 95.656 จุดที่ขึ้นไปได้เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ที่ผ่านมา

• วิเคราะห์ค่าเงินยูโรทางเทคนิค : ยูโรแข็งค่าทำ High ใกล้ $1.1720

ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์หลุดแนว $1.1700 ขึ้นมา และปิดตลาดรายวันที่ $1.1716 ใกล้แนวต้าน $1.1720

ในส่วนของเส้นค่าเฉลี่ยราย 50 และ 100 วัน ทั้งสองเส้นได้เคลื่อนไหวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วัน จึงเป็นสัญญาณของทิศทางขาขึ้นที่ชัดเจน โดยเฉพาะหากค่าเงินยังสามารถเคลื่อนไหวเหนือ $1.1700 ได้ต่อไป

ทั้งนี้ ค่าเงินจะมีเป้าหมายที่บริเวณ $1.1730-1.750 ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญและคาดว่าจะมีแรงเทขายแถวบริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นยังไม่มีสัญญาณว่าทิศทางขาขึ้นจะอ่อนกำลังลงแต่อย่างไร

• FX Street ระบุว่า ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวกรอบแคบๆ โดย RSI อยู่ที่ระดับ 50 ในกราฟราย 4 ชั่วโมง ขณะที่ระดับราคาที่ 1.1720 ดอลลาร์/ยูโร ถ้าผ่านจุดสูงสุดเดิมช่วงปลายเดือนก.ค.นี้ไปได้มีโอกาสไปแถว 1.1750 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่เคยขึ้นไปทดสอบสองครั้งแล้วไม่ผ่าน แต่ถ้าผ่านไปได้มีโอกาสเห็นยูโรไปที่ 1.1795 ดอลลาร์/ยูโร และ 1.1850 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมช่วงกลางเดือนมิ.ย.

ในทางกลับกัน หากค่าเงินยูโรร่วงหลุดต่ำกว่าแนวรับ 1.1680 ดอลลาร์/ยูโร ก็มีโอกาสกลับลงมาที่จุดต่ำสุดเดิมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วบริเวณ 1.1620 ดอลลาร์/ยูโร และมีโอกาสเห็นปรับลงต่อมาที่ 1.1575 ดอลลาร์/ยูโร และจุดต่ำสุดเดิมของปีที่ 1.1508 ดอลลาร์/ยูโร

• ในการประชุมเฟดที่จะทราบผลในคืนวันพุธนี้ ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงินไว้ดังเดิม แต่ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อาจสนับสนุนให้เฟดสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งภายในปีนี้ แม้จะถูกกดดันจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกี่ยวกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดก็ตาม

ทั้งนี้ ตลาดคาดการณ์ว่า ถ้อยแถลงหลังการประชุมเฟดครั้งนี้จะค่อนข้างใกล้เคียงกับถ้อยแถลงในการประชุมเมื่อเดือนก่อนหน้า กล่าวคือ น่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญใดๆเกี่ยวกับมุมมองต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ความแข็งแกร่งของภาคการลงทุน และอัตราเงินเฟ้อที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

• ธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือบีโอเจ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงินในการประชุมวันนี้ แต่ส่งสัญญาณว่าจะปรับเปลี่ยนนโยบายให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และให้สัญญาจะคงดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไปจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะสามารถขยายตัวสู่ระดับ 2% ตามเป้าได้

ทั้งนี้ คณะกรรมการมีมติคงระดับเป้าหมายของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นไว้ที่ระดับ -0.1% และผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ไว้ที่ 0% ด้วยคะแนนเสียง 7-2 เสียง

อย่างไรก็ตาม บีโอเจได้เปิดเผยว่าจะยอมให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวแกว่งตัวได้ ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในประเทศ เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจมีสภาพคล่องสูงขึ้น

• กระทรวงมหาดไทยแห่งญี่ปุ่นเปิดเผยว่า อัตราว่างงานในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นในเดือน มิ.ย. ขณะที่จำนวนตำแหน่งงานว่างในประเทศเพิ่มสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ทศวรรษ

โดยอัตราว่างงานในประเทศขยายตัวสู่ระดับ 2.4% ในเดือน มิ.ย. สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.3% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 2.2%

ขณะที่อัตราตำแหน่งงานว่างต่จำนวนผู้สมัคร (Jobs-to-applicants ratio) ขยายตัวสู่ระดับ 1.62 ในเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดที่สุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. ปี 1974 มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.60 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 1.60

• รายงานจากสำนักข่าว NHK ของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐฯและญี่ปุ่นกำลังเตรียมจัดการเจรจาในขั้นตอนสุดท้ายสำหรับการเจรจาเพื่อร่างสนธิสัญญาทางการค้าร่วมกัน โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 9 ส.ค. นี้

ทั้งนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบสหรัฐฯ และนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้มีข้อตกลงที่จะร่างสนธิสัญญาทางการค้าฉบับใหม่ร่วมกันเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา

• รัฐบาลญี่ปุ่นให้สัญญาจะลดการถือครองแร่พลูโทเนียมลง ตามแรงกดดันจากสหรัฐฯ จีน และประเทศอื่นๆ โดยญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ในการครอบครอง แต่มีปริมาณถือครองแร่พลูโทเนียมที่มากที่สุดในโลก ซึ่งแร่พลูโทเนียมเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์

อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นไม่ให้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับปริมาณที่จะลดการถือครองลงแต่อย่างใด ขณะที่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หลายแห่งในญี่ปุ่นถูกสั่งปิดตัวลง หลังเกิดเหตุหายนะในเมืองฟุกุชิม่าเมื่อปี 2011

• การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในประเทศจีนชะลอตัวลงกว่าคาดในเดือน ก.ค. ท่ามกลางความกังวลจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ สภาพอากาศที่เลวร้าย และปริมาณอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอลง

โดยดัชนี PMI เดือน ก.ค. ประกาศออกมาลดลงสู่ระดับ 51.2 จุด ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ที่ 51.3 จุด ลดลงจากระดับ 51.5 จุด ในเดือน มิ.ย. และยังเป็นระดับที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. ที่ผ่านมา แต่ยังสามารถอยู่เหนือระดับ 50 จุด ที่บ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม

นักวิเคราะห์จาก ANZ ประเมินว่า Trade war ส่งผลต่อภาคอุตตสาหกรรมจีนในระดับปานกลางเท่านั้น แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้ภาคอุตสหกรรมชะลอตัวคือปัญหาจากสภาพอากาศและปริมาณอุปสงค์ในประเทศมากกว่

• อัตราการเติบโตของภาคบริการในประเทศจีนชะลอตัวลงสู่ระดับปานกลางเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยดัชนี PMI ภาคการบริการในเดือน ก.ค. ปรับลดลงสู่ระดับ 54.0 จุด จากเดือนก่อนหน้าที่ 55.0 จุด

• รัฐบาลเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ร่วมกันจัดการประชุมทางการทหารขึ้นในวันนี้เพื่อติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับการปลกอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือและเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศพันธมิตร

อย่างไรก็ตาม หลังมีรายงานข่าวว่าดาวเทียมสอดแนมของสหรัฐฯได้ตรวจพบความเคลื่อนไหวในสถานที่พัฒนาขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ทำให้บางฝ่ายเกิดความไม่เชื่อมั่นในเจตจำนงของเกาหลีเหนืออีกครั้ง

• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง โดยสัญญาน้ำมันดิบ Brent ส่งมอบเดือนก.ย. ปรับตัวลดลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาดที่เพิ่มขึ้น หลังจากรายงานจาก Reuters ระบุว่า ปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปกปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 70,000 บาร์เรล/วัน แตะระดับ 32.64 ล้านบาร์เรล/เดือนในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในปีนี้

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 0.3% ที่ระดับ 74.72 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากเพิ่มขึ้นกว่า 1% เมื่อวานนี้ ขณะที่ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 0.3% ่เช่นเดียวกัน ที่ระดับ 69.88 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากปรับเพิ่มขึ้นกว่า 2% ในช่วงก่อนหน้านี้

• วิเคราะห์ราคาน้ำมัน WTI ทางเทคนิค : WTI ปรับขึ้นเหนือ $70.00 อีกครั้ง!

ราคาน้ำมัน WTI ปรับสูงขึ้นกว่า $1.50 หลุดระดับ $70.00 ขึ้นมา หลังทำแนวรับใหม่ที่ระดับ $68.30 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ราคาเผชิญกับแรงเทขายทำกำไรส่งผลให้ปรับลดลงเล็กน้อย ซึ่งจะมีระดับ $70.00 และ $69.44 ทำหน้าที่เป็นแนวรับระยะสั้น

ทั้งนี้ ทิศทางขาขึ้นของ WTI จะมีเป้าหมายแรกที่ $70.53 หากหลุดแนวนี้ขึ้นไปได้ ก็จะมีโอกาสให้ปรับขึ้นต่อเนื่องไปได้ถึง $73.00 ในอนาคตอันใกล้

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com