• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 25 กรกฎาคม 2561

    25 กรกฎาคม 2561 | Economic News
• ค่าเงินดอลลาร์และยูโรค่อนข้างทรงตัว ท่ามกลางตลาดที่กำลังจับตาดูการประชุมระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ และประธานกรรมาธิการอียู มีกำหนดจะพบกันในสหรัฐฯวันนี้ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและยุโรป

โดยดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่บริเวณ 94.651 จุด แข็งค่าขึ้นจากระดับต่ำสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 94.207 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรทรงตัวบริเวณ 1.1678 ดอลลาร์/ยูโร

ด้านค่าเงินเยนอ่อนค่าขึ้น 0.1% บริเวณ 111.32 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินหยวนอ่อนค่า 0.1% บริเวณ 6.8145 หยวน/ดอลลาร์
สำหรับค่าเงินหยวน นักวิเคราะห์จาก State Street Bank ประเมินว่าตลาดกำลังจับตาว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการตอบโต้การขึ้นภาษีของสหรัฐฯอย่างไร หลังสหรัฐฯออกมาข่มขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็นมูลค่าอีก 5 แสนล้านเหรียญ ทั้งนี้ หากสหรัฐฯมุ่งเป้าหมายกดดันไปที่จีนเพียงประเทศเดียว นั่นอาจกลายเป็นปัจจัยหนุนให้กับตลาดยุโรปหรือญี่ปุ่นได้
·         ค่าเงินดอลลาร์วานนี้ดีดกลับได้หลังลงไปทดสอบระดับ 94.2 จุด ซึ่งเป็นระดับเส้น Fibonacci Retracement 38.2% ที่วัดจากเทรนขาลงปี 2017-2018 แต่การแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ยังมีอยู่และอาจกลับมาแถว 95 จุดได้ ขณะที่แนวรับของดอลลาร์จะอยู่บริเวณ 94.2 – 94.3 จุด หากยืนเหนือได้ในระยะสั้นมีโอกาสเป็นขาขึ้น แต่หากยืนเหนือระดับดังกล่าวไม่ได้มีโอกาสเห็นดอลลาร์อ่อนค่าลงมาที่ 94.08 จุด
·         ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงในสัปดาห์นี้ก่อนที่อีซีบีจะมีการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้ และดูเหมือนค่าเงินยูโรจะมีทิศทางอ่อนค่าต่ออยู่หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจยูโรโซนดูจะไม่ค่อยเกื้อหนุนเท่าไหร่นัก ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่เฝ้าระวังใกล้ชิดต่อระดับเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ของอีซีบี

ดังนั้น จึงคาดว่าจะเห็นค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวในกรอบตามกราฟข้างต้น จนกว่าจะสามารถ  Break   ด้านใดด้านหนึ่งเพื่อเห็นทิศทางที่ชัดเจน

นักวิเคราะห์จาก Commerzbank คาดว่า ค่าเงินยูโรจะเคลื่อนไหวในกรอบ  โดยระยะสั้นจะมีแนวต้าน 1.1746 ดอลลาร์/ยูโร โดยขณะนี้มีระดับราคาเคลื่อนไหวต่ำกว่าบริเวณ 1.1790 ดอลลาร์/ยูโร และภาพรวมตลาดยังมีภาวะขาลงอยู่ แต่ระยะสั้นๆในปัจจุบันราคามีการเคลื่อนไหวเป็น Sideways โดยต้องระวังบริเวณ 1.1510-1.1508 ดอลลาร์/ยูโร ที่เคยเป็นระดับต่ำสุดเดิม เพราะหากหลุดต่ำลงมามีโอกาสลงไปทดสอบระดับเส้นค่าเฉลี่ย MA ราย 200 สัปดาห์ที่ 1.1379 ดอลลาร์/ยูโร

อย่างไรก็ดี หากค่าเงินยูโรปรับตัวขึ้นเหนือ 1.1790 ดอลลาร์/ยูโร จะมีระดับเป้าหมายที่ 1.1855 ดอลลาร์/ยูโร และหากยืนเหนือได้มีโอกาสแข็งค่าไปต่อที่ 1.1937 ดอลลาร์/ยูโร หรือระดับบริเวณเส้นค่าเฉลี่ย MA   ราย 55 สัปดาห์ ขณะที่ระดับเส้นค่าเฉลี่ย MA ราย 200 วัน จะอยู่ที่ 1.1981 ดอลลาร์/ยูโร
· ค่าเงินปอนด์เข้าสู่ภาวะปรับฐานหลังจากที่รีบาวน์กลับจากระดับ 1.3 ดอลลาร์/ปอนด์ ดังนั้นระยะสั้นยังมีโอกาสเห็นค่าเงินปอนด์มีการดีดกลับได้อยู่ และยืนเหนือแนวต้านแถว 1.3050 ดอลลาร์/ปอนด์ และแนะนำกลยุทธ์ขาขึ้นในระยะสั้นๆ

อย่างไรก็ดี หากค่าเงินปอนด์กลับทดสอบ 1.3117 ดอลลาร์/ปอนด์ ก็มีโอกาสเห็นค่าเงินปอนด์ทำระดับราคาเป้าหมายถัดไปที่ 1.3200 ดอลลาร์/ปอนด์ เพียงแต่ภาพระยะยาวยังเป็นขาลงอยู่

· IMF ระบุว่า เศรษฐกิจฟิลิปปินส์มีแนวโน้มจะขยายตัวได้ 6.7% ในปีนี้และปีหน้า โดยได้รับอานิสงส์จากการอุปโภคบริโภคที่แข็งแกร่ง รวมถึงภาคการลงทุน

อย่างไรก็ดี ให้ระวังความเสี่ยงระยะสั้นจากการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อและการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภายนอกที่เพิ่มขึ้น

· รายงานจาก Reuters ระบุว่าปากีสถานจะมีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นภายในวันนี้ โดยผู้ลงสมัครเลือกตั้งส่วนใหญ่มาจากลัทธิหัวรุนแรง ซึ่งผลของการเลือกตั้งในวันนี้อาจกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้การเผยแพร่ศาสนาในทวีปเอเชียทางใต้และกระแสต่อต้านประเทศมหาอำนาจฝั่งตะวันตกมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

· Guenther Oettinger ผู้อำนวยการด้านงบประมาณประจำสหภาพยุโรป แนะนำให้สหภาพหาทางเจรจากับสหรัฐฯเพื่อขอลดภาษีสินค้านำเข้าเป็นวงกว้าง และเพื่อเป็นการป้องกันความขัดแย้งทางการค้า และป้องกัน Trade war

ขณะที่ นายฌ็อง คลอด-จุงเกอร์ ประธานกรรมาธิการอียู มีกำหนดการจะเข้าพบกับประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันนี้ เพื่อหารือถึงการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมของยุโรป และรวมถึงมาตรการการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ยุโรป

อย่างไรก็ตาม นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณเชิงลบต่อแนวโน้มการเจรจาระหว่างเขาและประธานกรรมาธิการอียูในวันนี้ โดยนายทรัมป์ได้ทวีตข้อความแสดงความต้องการที่จะยกเลิกภาษีนำเข้าและกำแพงทางการค้าทุกประการกับยุโรป แต่อ้างว่าทางสหภาพยุโรปไม่มีความต้องเช่นนั้น

· รายงานจาก CNBC เผยว่า ทางรัฐมนตรีกระทรวงการต่งประเทศของเยอรมนี กล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษควรเดินหน้าเจรจา Brexit รวมถึงกรณีพรมแดนไอร์แลนด์ตอนเหนือด้วย เพื่อให้เกิดความคืบหน้ามากขึ้นและประสบความสำเร็จในการออกจากอียูภายในเดือนต.ค.นี้

· ดอยซ์แบงก์ (Deutsche Bank) เผยว่า ผลประกอบการร่วงลงไปประมาณ 14% ในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ท่ามกลางการปรับโครงสร้างภาคธนาคารภายใต้ผู้นำคนใหม่ ขณะที่นักวิเคราะห์กว่าครึ่งหนึ่ง มองวา่ มีโอกาสเห็นผลประกอบการปรับลงเกินครึ่งเนื่องจากไม่มีข่าวดีใหม่ๆ ประกอบกับการปรับลดค่าใช้จ่ายเพื่อหนุนผลกำไรบริษัทฯ

· หลังจากที่อีซีบีได้ส่งสัญญาณเชิงผ่อนคลายทางการเงินผิดคาดในการประชุมเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา บรรดานักวิเคราะห์จึงคาดการณ์ว่าในประชุมของอีซีบีวันพรุ่งนี้ อีซีบีจะคงยังอัตราดอกเบี้ยและนโยบายดังเดิมและส่งสัญญาณที่เป็นกลาง ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของยุโรปในปัจจุบัน

สำหรับสิ่งที่นักลงทุนจะจับตาในการประชุมอีซีบี น่าจะเกี่ยวกับมุมมองของอีซีบีที่มีต่อปัจจัยเสี่ยงในเศรษฐกิจ และความคิดเห็นต่อภาวะ Trade war

รายงานจาก Deutsche Bank คาดการณ์ว่า ถ้อยแถลงของนายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบี จะกล่าวออกไปในเชิง “Goldilocks” ไม่ผ่อนคลายหรือคุมเข้มเกินไป เนื่องจากทางอีซีบีได้เคยส่งสัญญาณว่าจะยังคงนโยบายต่อไปจนถึงปี 2019 ทางอีซีบีจึงไม่ต้องการส่งสัญญาณที่ผิดๆ และสร้างความแตกตื่นให้กับตลาด จนต้องออกนโยบายเข้ามาควบคุมโดยไม่จำเป็น

· นักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนกำลังรอสัญญาณความหวังที่ว่าผลที่พวกเขาคาดหวังไว้จะเป็นจริงในระยะเวลาอันใกล้เกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งภาวะขาขึ้นของตลาดหุ้น แต่ก็มีบางส่วนที่ยังคงกังวลต่อภาวะ Flattening ในส่วนของ Yield Curve และการชะลอตัวของตลาดที่อยู่อาศัย แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจตัวอื่นจะยังบ่งชี้ถึงความแข็งแรง

ผลสำรวจจาก Reuters ชี้ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯจะค่อยๆชะลอลงในช่วง 2 ปีข้างหน้า ขณะที่ภาวะคุกคามจาก Trade War ก็มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยได้

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ในตลาดพันธบัตร มีความเห็นต่างอีกมุมมองว่า Yield Curve จะเกิดการกลับตัวในช่วง 1 – 2 ปีข้างหน้า โดยปักธงไว้ว่ามีโอกาสเห็นอัตราผลตอบแทนระยะสั้นปรับตัวสูงกว่าอัตราผลตอบแทนระยะยาว และนั่นจะเป็นการบ่งชี้ถึงการเริ่มเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

· ในการประชุมของคณะกรรมการประจำสถาบันพัฒนาและปฏิรูปแห่งประเทศจีน มีมติเห็นพ้องกันว่า ความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนให้กับตลาดแรงงานในประเทศ แต่ยืนยันจะสนับสนุนการจ้างงานในประเทศให้อยู่ในระดับเป้าหมายต่อไป

ทั้งนี้ สถาบันฯได้คงเป้าหมายอัตราว่างงานของคนเมืองในประเทศไว้ที่ระดับ 5.5% สำหรับปี 2018 รวมถึงคงเป้าหมายอัตราว่างงานจดทะเบียนไว้ที่ระดับ 4.5% ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราว่างงานอีกตัวหนึ่ง ไว้ดังเดิมที่ 4.5% เช่นเดียวกัน

· ราคาน้ำมันดิบปรับัวสูงขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 หลังจากข้อมูลจากสถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานของสหรัฐฯ (API) รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับลดลงมากกว่าที่คาดในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานล้นตลาดที่กดดันตลาดในช่วงที่ผ่านมาเริ่มเบาบางลง

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 0.8% ที่ระดับ 74.01 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับเพิ่มขึ้น 0.4% ที่ระดับ 68.79 เหรียญ/บาร์เรล

·         ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้ราคายังไม่หลุดต่ำกว่าระดับ 67.72 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวขึ้นทดสอบบริเวณ 69.00 เหรียญ/บาร์เรลอีกครั้ง ก็ยังไม่สามารถปิดเหนือระดับนั้นได้ แม้ว่าข้อมูลจากสถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานของสหรัฐฯ (API) จะออกมาดีขึ้นก็ตาม

เนื่องจากราคายังไม่สามารถผ่านระดับ 69 เหรียญขึ้นไปได้เมื่อช่วง 4 วันที่ผ่านมา ซึ่งราคาจะมีแนวรับที่ระดับ 67.92 เหรียญ โดยเป็นลักษณะการซื้อขายในกรอบ ขณะที่แนวโน้มขาขึ้นยังคงถูกกดดันอยู่

และคาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบ 67.72 - 69.00 เหรียญ ในลักษณะมีการปรับขึ้นได้ระยะสั้นๆ
บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com