• Trade war จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจจีนอย่างไร?

    6 กรกฎาคม 2561 | Economic News
 

รัฐบาลสหรัฐฯประกาศจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็นมูลค่ากว่า 3.4 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันศุกร์นี้เป็นต้นไป พร้อมส่งสัญญาณว่าอาจมีการเพิ่มภาษีเป็นมูลค่าอีก 1.6 หมื่นล้านเหรียญตามมาภายหลัง

ทางรัฐบาลจีนก็ได้ประกาศจะมีการตอบโต้สหรัฐฯด้วยนโยบายภาษีที่มีมูลค่าเท่าเทียมกัน ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ได้ข่มขู่ว่า หากจีนทำการตอบโต้ สหรัฐฯก็จะออกนโยบายขึ้นภาษีเป็นมูลค่าอีก 2 แสนล้านเหรียญ และถ้าหากจีนยังแข็งกร้าว ก็จะมีถูกปรับขึ้นอีก 2 แสนล้านเหรียญ

ทั้งนี้ ตามข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯ จีนได้มีการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯเป็นมูลค่า 1.30 แสนล้านเหรียญในปีที่ผ่านมา ขณะที่ทางสหรัฐฯนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นมูลค่ากว่า 5.06 แสนล้านเหรียญ

ผลกระทบโดยตรงจะอยู่วงจำกัด!

บรรดานักวิเคราะห์จากสถาบัน Ballpark ประเมินว่า ทุกๆ 1 แสนล้านเหรียญของมูลค่าการนำเข้าที่ถูกเรียกภาษีเพิ่ม จะถูกนำไปหักลบในการซื้อขายสินค้าทั่วโลกประมาน 0.5และลดอัตราการขยายตัวของดุลการค้าทั่วโลกลงไป 0.1ขณะที่ผลกระทบโดยตรงกับเศรษฐกิจจีน คาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจะถูกหักลบไปประมาน 0.1 - 0.3% ขณะที่ยอดส่งออกจะถูกหักลบไป 1ส่วนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสหรัฐฯถูกคาดการณ์ว่าจะเบาบางกว่าที่เกิดขึ้นกับจีน

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก ถูกคาดว่าจะขยายตัวได้ 0.1 – 0.3หากไม่ประเมินถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

นโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนของสหรัฐฯ จะครอบคลุมไปยังสินค้ากลุ่มเครื่องยนต์ การก่อสร้าง เครื่องจักรการเกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้า การคมนาคม อุปกรณ์สื่อสาร และเครื่องมือความแม่นยำ

ขณะที่นโยบายตอบโต้ภาษีสหรัฐฯของจีน จะครอบคลุมไปยังสินค้ากลุ่มการเกษตร รถยนต์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ โดยสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกจากจีนสู่สหรัฐฯสูงที่สุดในปัจจุบันคือเมล็ดถั่วเหลือง


ผลกระทบทางอ้อมจะขยายเป็นวงกว้าง!

Morgan Stanley คาดการณ์ว่า ผลกระทบที่จะตามมาจากนโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ อาจเกิดขึ้นกับประเทศที่อยู่ใน ห่วงโซ่คุณค่า อย่างรุนแรงมากถึง 2 ใน 3

โดยข้อมูลจาก Peterson Institute แสดงให้เห็นว่า ยอดนำเข้าจากจีนสู่สหรัฐฯกว่า 2 ใน 3 มาจากบริษัทต่างชาติ ดังนั้น มูลค่าภาษีที่สหรัฐฯจะเก็บเพิ่มขึ้นจากจีน จึงไม่ได้ถูกจำกัดวงอยู่แค่ภายในประเทศจีนเท่านั้น โดยบริษัทต่างชาติที่มีการลงทุนอยู่ในประเทศจีนสูงเป็นอันดับแรกๆ ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

นักวิเคราะห์จากสถาบัน DBS ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจได้รับความเสียหายมากกว่าจีนเสียอีก เนื่องจากการขึ้นภาษีจะส่งผลถึงบริษัทสัญชาติสหรัฐฯที่มีการลงทุนอยู่ในจีน

ความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศ จะส่งผลให้ภาคธนาคารไม่สามารถควบคุมเศรษฐกิจได้ตามที่ต้องการ และยังจะเป็นการกดดันการไหลเวียนของเม็ดเงินลงทุนและเครดิต จึงทำให้บรรดาธุรกิจเกิดความลังเลที่จะเข้ามาลงทุน ขณะที่การขึ้นภาษีที่ครอบคลุมไปถึงสินค้าในกลุ่มผู้บริโภค ก็อาจส่งผลกระทบไปถึงปริมาณอุปสงค์และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

สถาบัน Pictet Asset Management วิเคราะห์ว่า นโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อบรรดาผู้บริโภคโดยตรง และมีโอกาสที่จะทำให้ทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกต้องชะลอตัวลง รวมถึงอาจทำให้ผลกำไรของบริษัทต่างๆทั่วโลกร่วงลงถึง 2.5%

 

ประเทศที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด

สถาบัน DBS ประเมินว่า เกาหลีใต้ มาเลเซีย ไต้หวัน และ สิงคโปร์ จะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากความขัดแย้งทางการค้าครั้งนี้ เนื่องจากบรรดาประเทศเหล่านี้มีการเปิดกว้างทางการค้า และอยู่ภายใต้ห่วงโซ่อุปทานมากที่สุด

โดยคาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจเกาหลีใต้จะถูกหักลบลงไป 0.4% มาเลเซียและไต้หวัน 0.6% ส่วนสิงคโปร์ 0.8% ขณะที่ผลกระทบดังกล่าวอาจขยายตัวได้เป็น 2 เท่าในปี 2019


ที่มา: Reuters

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com