• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 6 กรกฎาคม 2561

    6 กรกฎาคม 2561 | Economic News

• รายงานจาก CNBC เปิดเผยว่า สรุปรายงานประชุมเฟดเดือนมิ.ย.ที่ประกาศเมื่อคืนนี้ แสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่เฟดมีความกังวลกับการการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดูจะแข็งแกร่งมากเกินไป เพราะอาจก่อให้เกิดปัญหาการชะลอตัวได้หากปราศจากการประเมินให้ละเอียดถี่ถ้วน

ขณะที่สมาชิกเฟดบางคน แสดงความคิดเห็นว่า ความกังวลต่อภาวะการขยายตัวว่าเศรษฐกิจอาจขยายตัวมากเกินศักยภาพในการจัดการอาจช่วยเพิ่มความเสี่ยงทางด้านแรงกดดันเงินเฟ้อ หรือความไม่มีเสถียรภาพทางการเงินก็อาจนำไปสู่ภาวการณ์ชะลอตัวทางเศรษฐกิจได้

อย่างไรก็ดี ในการประชุมวาระดังกล่าว สมาชิกเฟดส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่าเฟดจะสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อได้ แม้ว่าจะยังมีความกังวลบางส่วนต่อประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและประเทศคู่ค้าที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯในปีนี้ เพราะนอกจากจะบั่นทอนทิศทางเศรษฐกิจภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งกิจกรรมภาคการลงทุนในอนาคต

• ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไปแตะระดับต่ำสุดรอบ 3 สัปดาห์ ท่ามกลางข้อมูลยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงานอุตสาหกรรมเยอรมนีที่แข็งแกร่งและหนุนให้ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น ขณะที่ข้อมูลการจ้างงานเอกชนที่ออกมาน้อยกว่าที่คาดในเดือนมิ.ย. ก็ได้เข้ากดดันค่าเงินดอลลาร์ ควบคู่กับประเด็นความกังวลสงครามการค้า

ขณะที่รายงานประชุมเฟดเมื่อคืนถึงแม้เจ้าหน้าที่เฟดจะสื่อให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงมีความแข็งแกร่ง แต่สมาชิกเฟดก็ยังมีความกังวลต่อ Trade War จึงกดดันให้ดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงเช่นกัน

ดัชนีดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลง 0.2% ที่ระดับ 94.467 จุด หลังจากที่ช่วงต้นตลาดลงไปทำระดับต่ำสุดรอบ 3 สัปดาห์ ทางด้านค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น 0.4% ที่ระดับ 1.1681 ดอลลาร์/ยูโร

นับตั้งแต่ที่ค่าเงินดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงไปทำระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปีเมื่อเดือนก.พ. ที่ผ่านมา ก็จะเห็นได้ว่านับจากนั้นค่าเงินดอลลาร์มีการแข็งค่าขึ้นมาได้เกือบ 7% ขณะที่นักวิเคราะห์และเหล่าเทรดเดอร์บางส่วนมองว่า ขณะนี้ดอลลาร์เผชิญกับแรงขายทำกำไรในช่วงการเริ่มต้นไตรมาสใหม่เท่านั้น และกลุ่มนักลงทุนให้ความสนใจไปยังการประกาศข้อมูลการจ้างงานภาครัฐบาลสหรัฐฯคืนนี้

• ผลการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯเมื่อคืนนี้ พบว่า ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนเดือนมิ.ย. ออกมาน้อยกว่าที่คาด ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่สถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) เผยดัชนีราคาภาคบริการออกมาดีขึ้นกว่าที่คาด แต่ภาวะสงครามทางการค้าผ่านนโยบายการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นอาจกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในกลุ่มแรงงานได้ โดยอาจจะเริ่มชะลอตัวลงในอีกไม่กี่เดือนจากนี้

• เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวยืนยันการเริ่มต้นเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 3.4 หมื่นล้านเหรียญที่จะมีผลบังคับใช้ในวันนี้ พร้อมกล่าวเตือนว่า สหรัฐฯอาจทำการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีกกว่า 5 แสนล้านเหรียญในช่วงปลายปี

นายทรัมป์ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับนโยบายภาษี โดยระบุว่า ในอันดับแรกเราจะเก็บภาษีเป็นมูลค่า 1.6 หมื่นล้านเหรียญจากนั้นภายใน 2 สัปดาห์ เราจะเพิ่มมูลค่าภาษีเป็น 2 แสนล้านเหรียญ และอันดับต่อไปก็จะเพิ่มเป็น 3 แสนล้านเหรียญ โดยจะเป็นการเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 5 หมื่นล้านเหรียญ ตามด้วย 2 แสนล้านเหรียญ รวมเป็น 3 แสนล้านเหรียญ

• นายหวัง ยี่ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งประเทศจีน กล่าวตำหนินโยบายเชิงกีดกันทางการค้า ว่าเป็นนโยบายที่ “มองการสั้น” และจะส่งผลเสียต่อทุกๆฝ่าย ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่กำลังร้อนแรงในปัจจุบัน

• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ มีมุมมองเกี่ยวกับอนาคตของเกาหลีเหนือแตกต่างออกไปจากมุมมองของเขา ขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯกำลังเดินไปยังเกาหลีเหนือเพื่อเจรจาเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์

• นายทรัมป์จะดำเนินการกดดันนายวลาดิเมีย ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ในที่ประชุม NATO ให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการที่รัสเซียได้เข้าแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯเมื่อปี 2016 ซึ่งจะเป็นท่าทีที่แข็งกร้าวต่อรัสเซีย แตกต่างกับที่นายทรัมป์ต้องการดำเนินการกับรัสเซียมาก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง

• นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะเปิดเผยร่างนโยบายการค้าฉบับใหม่ภายในวันศุกร์นี้ โดยเบื้องต้น ร่างนโยบายฉบับใหม่นี้จะช่วยให้อังกฤษมีอิสรภาพในการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าหลังอังกฤษถอนตัวออกจากอียูมากขึ้น

ทั้งนี้ นางเมย์ยังคงถูกกดดันโดยสมาชิกจากอียู รวมไปถึงผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่ทางการเมืองในประเทศ ให้เร่งดำเนินการเจรจากับอียูสำหำรับแผนการดำเนินการหลังอังกฤษถอนตัวออกจากอียู เนื่องจากจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายเศรษฐกิจและนโยบายระหว่างประเทศครั้งใหญ่สำหรับอังกฤษในรอบครึ่งศตวรรษ

• พรรคร่วมรัฐบาลของเยอรมนีสามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายผู้อพยพได้เมื่อคืนที่ผ่านมา พร้อมให้สัญญาว่าจะผลักดันให้นโยบายใหม่นี้มีผลบังคับใช้ภายในสิ้นปี 2018

ทั้งนี้ การที่พรรคร่วมรัฐบาลสามารถบรรลุข้อตกลงได้ ได้ช่วยผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองที่อาจทำให้นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี สูญเสียอำนาจทางการเมืองเนื่องจากความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการส่งผู้อพยพที่มาจากประเทศในอียู กลับประเทศของตนเอง ซึ่งจำเป็นจะต้องขอความยินยอมจากอิตาลีและประเทศอื่นๆในอียูในการที่จะส่งผู้อพยพกลับประเทศได้

• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงหลังจากที่รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯออกมาเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ โดยน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 1.2 เหรียญ ที่ระดับ 72.94 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากไปทำระดับสูงสุดรอบ 3 ปีครึ่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาบริเวณ 75 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 85 เซนต์ ที่ระดับ 77.39 เหรียญ/บาร์เรล

• กระทรวง EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบในสัปดาห์ที่ผ่านมาของสหรัฐฯปรับตัวขึ้นเกินคาดแตะระดับ 1.3 ล้านบาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com