• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 5 กรกฎาคม 2561

    5 กรกฎาคม 2561 | Economic News

• ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง ท่ามกลางความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจยูโรโซนที่ลดลงได้บดบังข้อมูลกิจกรรมภาคธุรกิจที่ออกมาดีขึ้นเกินคาด ขณะที่ตลาดมีความกังวลต่อการที่สหรัฐฯจะประกาศการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวันศุกร์นี้ โดยค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงมา 0.1% ที่ระดับ 1.1647 ดอลลาร์/ยูโร หลังข้อมูลกิจกรรมภาคธุรกิจของยูโรโซนที่ออกมาดีขึ้นเกินคาดในเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 54.9 จุด จาก 54.1 จุด อาจเป็นปัจจัยที่หนุนให้อีซีบีมีแนวโน้มจะทำการคุมเข้มทางการเงิน แต่ทิศทางเชิงบวกก็ถูกบดบังจากข้อมูล PMI ของยูโรโซนที่แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2016 ที่ระดับ 63.4 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่พ.ย. ปี 2016

ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวบริเวณ 94.60 จุด โดยยังคงเคลื่อนไหวใกล้กับระดับสูงสุดรอบ 11 เดือน หลังจากที่ปรับแข็งค่าขึ้นมาได้ติดต่อกัน 3 เดือน

ทางด้านค่าเงินหยวนปรับขึ้นมาประมาณ 0.9% หลังจากที่ไปทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดรอบ 11 เดือน หลังจากที่ธนาคารกลางจีนมีการแทรกแซงค่าเงินเมื่อไม่นานมานี้ โดยล่าสุดค่าเงินหยวนปรับลงมาที่ 6.63862 หยวน/ดอลลาร์

อย่างไรก็ดี ค่าเงินสกุลหลักส่วนใหญ่เมื่อคืนนี้เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆเท่านั้น เนื่องจากเป็นวันหยุดเฉลิมฉลองวันประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ จึงทำให้เกิดการเห็นแรงเทขายปิดสถานะทำกำไรครั้งใหญ่ ประกอบกับตลาดรอความชัดเจนว่าความตึงเครียด Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีน จะขยายวงกว้างและยุโรปจะเข้ามามีส่วนพัวพันกับสงครามการค้าสองประเทศหรือไม่

• รัฐมนตรีกระทรวงการคลังจีน เผยว่า จีนไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มประเด็นความขัดแย้งในการเรียกเก็บภาษีนำเข้าทางการค้าต่อสหรัฐฯ และจะไม่เป็นฝ่ายทำการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯก่อนวันที่ 6 ก.ค.นี้ ขณะที่สหรัฐฯมีแผนจะทำการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน

ทั้งนี้ นโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านเหรียญ ที่สหรัฐฯเป็นผู้ประกาศ กำลังจะมีผลบังคับใช้ภายในช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย หรือจีนจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้วันแรก

• องค์การการค้าโลกหรือ WTO ระบุในรายงาน G20 โดยมีใจความว่า การตั้งกำแพงภาษีทางการค้าจะส่งผลลบต่อประเทศเศรษฐกิจหลักๆ และมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก โดยเชื่อว่าผลกระทบดังกล่าวกำลังเริ่มแสดงให้ทุกคนได้เห็น โดยหากความตึงเครียดทางการค้ายังคงดำเนินต่อไปก็จะคุกคามต่อภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของทุกประเทศ ซึ่งจะเห็นได้จากปัจจัยชี้วัดทางการค้าที่อาจชะลอตัวมากขึ้นในไตรมาสที่ 2/2018 ที่จะมีผลมากกว่าไตรมาสแรก

อย่างไรก็ดี ในรายงานของ WTO ไม่ได้ระบุถึงประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นการเจาะจง แต่นับตั้งแต่เริ่มต้นปี 2018 ก็ดูเหมือน นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะทำการปล่อยมหากาพการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าต่อประเทศที่เขาเห็นว่าไม่ยุติธรรมทางการค้าต่อสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรหรือประเทศคู่แข่งทางการค้าก็ตาม

โดยระบบการค้าโลกมีขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาทางการค้า แต่ความตึงเครียดทางการค้าที่เกิดขึ้นกำลังเป็นภัยต่อระบบการค้า ดังนั้น กลุ่มประเทศ G20 จึงจำเป็นที่จะต้องจัดหากระบวนการเพื่อลดความตึงเครียดในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และช่วยสนับสนุนให้การค้ามีการฟื้นตัว

• ภาคอุตสาหกรรมบริการขนาดใหญ่ของอังกฤษขยายตัวได้อย่างรวดเร็วที่สุดในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว เนื่องจากมีกระแสคาดการณ์จากกลุ่มนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นว่าอังกฤษจะทำการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า โดยดัชนี PMI ปรัขึ้น 55.1 จุดในเดือนมิ.ย.

• รายงานจาก Reuters ระบุว่า ดูเหมือนทางรัฐบาลสหรัฐฯจะเริ่มมีการผ่อนคลายข้อเรียกร้องให้เกาหลีเหนือปลดอาวุธนิวเคลียร์แบบสุดโต่งลดน้อยลง ขณะที่นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ กำลังจะเดินทางไปยังเกาหลีเหนือในวันศุกร์นี้

โดยการเดินทางครั้งนี้ของนายไมค์จะเป็นการเดินทางสู่เกาหลีเหนือครั้งที่ 3 ของเขา แต่จะนับเป็นการเดินทางครั้งแรกหลังจากการประชุมระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ในประเทศสิงค์โปร์ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมา

• น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้นเพราะได้รับแรงหนุนจากท่าทีคุกคามของอิหร่าน หลังจากที่นายฮัสซัน โรฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน แสดงท่าทีว่าจะทำการคุกคามต่อภาคการขนส่งน้ำมันของประเทศเพื่อนบ้าน โดยพร้อมที่จะขัดขวางการส่งออกน้ำมันดิบในภูมิภาคหากสหรัฐฯยังคงเดินหน้ากดดันให้ทุกๆประเทศยุติการเข้าซื้อน้ำมันดิบของอิหร่าน

น้ำมันดิบ Brent ยืนเหนือ 78 เหรียญ/บาร์เรลได้ ก่อนที่ภาพรวมจะปิดแดนบวกโดยปรับขึ้นประมาณ 48 เซนต์ ที่ระดับ 78.24 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 19 เซนต์ ที่ระดับ 74.33 เหรียญ/บาร์เรล

• เจ้าหน้าที่อาวุโสประจำกระทรวงน้ำมันอิหร่าน เผยว่า การที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กดดันให้บริษัทนานาชาติไม่ทำการซื้อน้ำมันดิบของอิหร่าน เพราะต้องการให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น และยุติการเพิ่มผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯเพียงผู้เดียว

• นายฮัสซัน โรฮานี ประธานาธิบดีอิหร่านเตือน รัฐบาลอิหร่านอาจให้ความร่วมมือกับหน่วยงานด้านนิวเคลียร์ขององค์การสหประชาชาติลดน้อยลง หลังจากที่เขาได้กล่าวเตือนประธานาธิบดีสหรัฐฯเกี่ยวกับ “ผลลัพธ์” ที่จะตามมาหลังสหรัฐฯประกาศคว่ำบาตรอิหร่าน


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com