• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 7 มิถุนายน 2561

    7 มิถุนายน 2561 | Economic News


·         ค่าเงินยูโรระหว่างปรับแข็งค่าขึ้นกว่า 0.5% บริเวณ 1.1828 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ทางอีซีบีได้ส่งสัญญาณว่าอาจมีการทยอยลดนโยบายผ่อนคลายทางการเงินลงภายในช่วงปลายปีนี้

ด้านดัชนีดอลลารืปรับอ่อนค่าลง 0.4% สู่ระดับอ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. ขณะที่ค่าเงินดอลลารืเมื่อเทียบกับเงินเยนปรับแข็งค่าขึ้นมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 110.27 เยน/ดอลลาร์

·         ผลสำรวจจาก Reuters กี่ยวกับการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ พบว่า นักวิเคราะห์กว่า 60% หรือ 35 คนจากทั้งหมด 60 คน ประเมินว่าค่าเงินดอลลาร์จะสามารถคงทิศทางแข็งค่าได้อย่างมากที่สุด 3 เดือน ส่วนอีก 10 คน ประเมินว่าจะสามารถคงทิศทางแข็งค่าได้เพียงแค่ 1 เดือน

·         ผลสำรวจจาก Reuters คาดการณ์ว่า ค่าเงินปอนด์อังกฤษมีแนวโน้มจะสามารถกลับมาแข็งค่าได้อีกครั้ง หลังจากที่อังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการในเดือน มี.ค. ปีหน้า โดยอาจสามารถชดเชยการอ่อนค่าลงไปนับตั้งแต่เมื่อชาวอังกฤษลงประชามติถอนตัวออกจากสหภาพในเดือน มิ.ย. ปี 2016 

ทั้งนี้ ค่าเงินปอนด์อังกฤษได้อ่อนค่าลงมาประมาณ 10% นับตั้งแต่การลงประชามติ Brexit ล่าสุดเคลื่อนไหวแถวบริเวณ 1.34 ดอลลาร์/ปอนด์ แต่การอ่อนค่าอาจถูกชดเชยได้ทั้งหมดหากทางการอังกฤษสามารถหาข้อตกลงที่ดี ร่วมกับสหภาพยุโรปได้

นอกจากนี้ บรรดานักวิเคราะห์ได้ประเมินว่า ค่าเงินปอนด์อังกฤษจะเคลื่อนไหวแถวบริเวณ 1.33 ดอลลาร์/ปอนด์ ในช่วงหลังจากนี้ 6 เดือน 1.35 ดอลลาร์/ปอนด์ในช่วงหลังจากนี้ 1 ปี และจะแข็งค่าขึ้นไปเคลื่อนไหวบริเวณ 1.41 ดอลลาร์/ปอนด์ ในช่วงเดือน มิ.ย. ปี 2019

·         นายแลรี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว เรียกร้องให้บรรดาผู้นำประเทศพันธมิตรอย่าได้กล่าวโทษนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าเป็นผู้ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการค้า สิ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้งก็คือระบบการค้าของประเทศที่มันบกพร่อง และนายทรัมป์ก็เป็นผู้ที่กำลังพยายามแก้ไขอยู่

·         โฆษกกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯจีน กล่าวว่า จีนไม่ต้องการที่จะสร้างความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ ขณะที่รายละเอียดการเจรจากับทางสหรัฐฯก็ได้รับการยืนยันแล้

·         คณะกรรมการประจำเฟดมีแนวโน้มที่จะปรับเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยให้สูงกว่าระดับเงินเฟ้อในปัจจุบันเป็นครั้งแรกในรอบเกือบทศวรรต ภายในการประชุมสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดประเด็นใหม่ที่ตลาดให้ความสนใจ คือเมื่อไหร่ที่เฟดจะพิจารณาหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ทั้งนี้ เฟดได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่ปี 2015 โดยไม่มีสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯแต่อย่างไร ขณะที่การประชุมในเดือนมิ.ย.นี้ เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ของปี 2018

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาวะที่อัตราเงินเฟ้อที่ยังค่อนข้างทรงตัว บรรดาคณะกรรมการเฟดกำลังพิจาณาเป้าหมายของอัตราอัตราดอกเบี้ยที่ เป็นกลาง” กล่าวคือเป็นอัตราดอกเบี้ยที่จะไม่ชะลอหรือกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจมากเกินไป แต่เนื่องจากการประเมินอัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลางไม่สามารถประเมินได้อย่างแม่นยำ บรรดานักวิเคราะห์จึงกังวลว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเกินไปจนกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจ

·         รายงานจาก Reuters เปิดเผยว่า ทางการสิงคโปร์จะมีการปิดหรือจำกัดน่านฟ้าของสิงคโปร์ในช่วงที่การประชุมระหว่างผู้นำเกาหลีเหนือและสหรัฐฯจะเกิดขึ้นภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบให้เที่ยวบินเข้าหรือออกจากสิงคโปร์ถูกเลื่อนกำหนดการออกไป

·         รายงานจาก Bloomberg  ชี้ว่า ยอดคำสั่งซื้อสินค้าภาคโรงงานอุตสาหกรรมเยอรมนีปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 4 เดือนในเดือนเม.ย. -2.5%ขณะที่ข้อมูลเดือนก่อนหน้าปรับทบทวนลงมา -1.1%  จึงยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อมุมมองการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในช่วงเริ่มต้นปีให้ดูทวีความย่ำแย่ลง
ขณะที่ค่าเงินยูโณถุกฉุดลงมาจากรายงานดังกล่าวก่อนจะปรับตัวขึ้น 0.3% บริเวณ 1.1807 ดอลลาร์/ยูโร

·         รายงานจาก Reuters ระบุว่า ทางสภาคองเกรสมีตัวเลือกเพียงน้อยนิดที่จะสามารถหยุดยั้งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ให้ออกคำสั่งผ่อนคลายข้อบังคับกับบริษัท ZTEของจีนได้ แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านนายทรัมป์ภายในสภาก็ตาม
·         นักวิเคราะห์จาก DailyFX คาดว่า ราคาน้ำมันดิบ WIT ทรงตัวแถวระดับแนวรับจากเส้น Trend Line ที่วัดจากเดือนมิ.ย. ปี 2017 ซึ่งหากหลุดลงมามีโอกาสเห็นทองคำกลับมาจุดต่ำสุดเมื่อ เม.ย. ที่ระดับ 61.84 เหรียญ/บาร์เรล แต่หากราคาน้ำมันดิบยืนเหนือ 66.22 - 67.36 เหรียญ/บาร์เรล ก็มีโอกาสเห็นราคาปรับขึ้นไปแถว 68.64 - 69.53 เหรียญ/บาร์เรล

·         ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่ปริมาณส่งออกของเวเนซุเอลาปรับร่วงลง โดยราคาปรับตัวสูงขึ้นมาหลังจากที่ปรับลงไปเมื่อช่ววก่อนหน้านี้ ขณะที่ปริมาณการผลิตน้ำมันสหรัฐฯยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันอยู่

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวสูงขึ้น 0.7ท่ะรดับ 75.87 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวสูงขึ้น 0.5ที่บริเวณ 65.03 เหรียญ/บาร์เรล

 

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com