ด้านดัชนีดอลลาร์ปรับแข้งค่าขึ้นมาบริเวณ 94.02 จุด ซึ่งในภาพรวมรายสัปดาห์ ดัชนีมีแนวโน้มจะปิดตลาดด้วยอัตราการแข็งค่าที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. ปี 2016
· ตลาดแรงงานสหรัฐฯมีแนวโน้มจะสามารถขยายตัวได้ในเดือน พ.ค. ท่ามกลางสภาพอากาศที่อบอุ่นขึ้น จึงอาจหนุนการจ้างงานในภาคการก่อสร้างได้มากขึ้น ขณะที่อัตราค่าจ้างยังคงถูกคาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพียงเล็กน้อย จึงไม่น่าจส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อเท่าไหร่นัก
ทั้งนี้ การจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่จะเปิดเผยในค่ำคืนนี้ ถูกคาดการณ์ว่าจะประกาศออกมาเพิ่มขึ้น 188,000 ตำแหน่งในเดือน พ.ค. เทียบกับในเดือน มี.ค. และ เม.ย. ที่เพิ่มขึ้น 135,00 ตำแหน่ง และ 164,000 ตำแหน่ง ตามลำดับ
ส่วนอัตราค่าจ้างเฉลี่ยรายช.ม. ถูกคาดการณืว่าจะขยายตัวขึ้น 0.2% ในเดือน พ.ค. หลังจากที่ขยายตัวได้ 0.1% ในเดือน เม.ย. ซึ่งอาจทำให้อัตราค่าจ้างเฉลี่ยในภาพรวมรายปี ขยายตัวขึ้นได้ 2.7% จากเดิม 2.6% ในเดือน เม.ย.
· บรรดาผู้นำทางการเงินจากประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯในกลุ่ม G7 จัดการประชุมขึ้นในประเทศแคนาดาวันนี้ หลังจากที่สหรัฐฯประกาศจะขึ้นอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม พร้อมยืนยันจะมีการออกมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ โดยการประชุมจะดำเนินต่อไปเป็นเวลา 3 วัน
ขณะที่ทางด้านนายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังแห่งสหรัฐฯ น่าจะเป็นที่ถูกจับตามองมากที่สุดในการประชุมครั้งนี้
· นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าบีโอเจ เรียกร้องให้บรรดาประเทสในกลุ่ม G7 พยายามใช้ “เหตุผล” ในการเจรจาปัญหาทางการค้าร่วมกัน เพื่อป้องกันความขัดแย้งทางการค้าที่อาจชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
· ทางการแคนาดาและเม็กซิโก ประกาศจะต่อต้านนโยบายขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมของสหรัฐฯ หลังจากที่สหรัฐฯได้ประกาศว่านโยบายจะมีผลบังคับใช้ภายในวันนี้ ขณะที่ทางสหภาพยุโรปเปิดเผยว่า พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะออกนโยบายมาตอบโต้สหรัฐฯ จึงเป็นการเพิ่มความกังวลให้กับตลาดเกี่ยวกับโอกาสที่อาจเกิดสงครามการค้าขึ้น
· บรรดาพรรคฝ่ายค้านในรัฐบาลอิตาลีดูยังคงมีความพยายามที่จะก่อตั้งพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อหยุดยั้งภาวะไร้อำนาจของรัฐบาลที่ยิดเยื้อมายาวนานกว่า 3 เดือน และมีแนวโน้มที่พรรคร่วมรัฐบาลจะมีการออกนโยบายกระตุ้นการใช้จ่าย รวมถึงต่อต้านนโยบายการเงินของสหภาพยุโรปและคุมเข้มการอพยพเข้าประเทศ
· ตัวแทนการเจรจาจากเกาหลีเหนือที่เดินทางมายังสหรัฐฯ เพื่อเจรจากับสหรัฐฯเกี่ยวกับการจัดการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำเกาหลีเหนือและประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตามกำหนดการเดิมในวันที่ 12 มิ.ย. นี้ ได้มีการส่งมอบจดหมายที่นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เป็นคนเขียนขึ้นด้วยตนเอง เพื่อส่งต่อให้กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม โฆษกประจำทำเนียบขาวได้เปิดเผยว่า รายละเอียดของการจัดการประชุมกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินงาน และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่านายทรัมป์จะยอมเปิดรับนายคิม ยอง ชอล ที่ปรึกษาคนสนิทของผู้นำเกาหลีเหนือ ที่ได้เดินทางมายังสหรัฐฯ เข้าสู่สำนักงานของประธานาธิบดีเพื่อเจรจากับตนเองโดยตรงหรือไม่
· รายงานจากสำนักข่าวในเกาหลีเหนือ ระบุว่า นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ยังคงมีมีความมุ่งมั่นที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์ “ไม่เปลี่ยนแปลงและอย่างมั่นคง”
· ทางการเกาหลีเหนือได้ยื่นข้อเสนอให้กับเกาหลีใต้ ในการจัดการเฉลิมฉลองการประชุมร่วมกันระหว่างทั้ง 2 ชาติเกาหลีครั้งประวัติศาสตร์ โดยเสนอให้จัดขึ้นในเกาหลีใต้ภายในเดือนนี้
อย่างไรก็ตาม ยังคงไม่มีรายงานว่าทางเกาหลีใต้ได้ตอบรับกับข้อเสนอหรือไม่ รวมถึงวันที่และช่วงเวลาของการจัดงานเฉลิมฉลองที่แน่ชัดก็ยังคงไม่มีการเปิดเผยออกมา
· การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในเอเชียเริ่มส่งสัญญาณของการชะลอตัวในเดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางแรงกดดันจากความตึงครียดทางการค้าที่ขยายตัวขึ้นทั่วโลก ขณะที่บรรดาตลาดเกิดใหม่สำคัญในเอเชียเริ่มที่จะสามารถรับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ขยายตัวและการแข็งค่าของดอลลาร์ได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม นโยบายขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมของสหรัฐฯ อาจทำให้ทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคตรวมถึงกระแสคาดการณ์ต่างๆมีความไม่แน่นอนมากขึ้น
· ทางการจีนประกาศจะปรับลดภาษีสินค้าบริโภคนำเข้ากว่า 1,500 รายการ ตั้งแต่เครื่องสำอางจนถึงเครื่องใช้ภายในครัวเรือนจากประเทศคู่ค้ารวมถึงสหรัฐฯ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. เป็นต้นไป
การดำเนินการดังกล่าวของจีน เป็นหนึ่งในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และสัญญาที่ให้กับประเทศคู่ค้าว่าจะเพิ่มปริมาณการนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ต้องการเสริมสร้างความน่าเชื่อถื่อของสินค้าจากประเทศตนเอง
ทั้งนี้ นโยบายการปรับลดภาษีสินค้านำเข้าของจีน จะลดค่าเฉลี่ยของอัตราภาษีลงสู่ระดับ 6.9% จากเดิมที่ 15.7% ของรายการสินค้าทั้งสิ้น 1,449 รายการ ซึ่งจะนับได้ว่าเป็นการปรับอัตราภาษีสินค้านำเข้าประมาณ 60%
· ราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าปรับตัวขึ้นมาได้ หลังจากที่ปรับลดลงในช่วงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดีราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่สอง โดยถูกกดันจากปริมาณการผลิตในสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์และความคาดหวังของโอเปคที่จะเพิ่มกำลังการผลิต
ทั้งนี้ น้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น 11 เซนต์ที่ระดับ 67.15 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปรับตัวขึ้น 16 เซนต์ ที่ระดับ 77.72 เหรียญ/บาร์เรล