สมาชิกวุฒิสภาแห่งสหรัฐฯลงมติผ่านร่างนโยบายปฏิรูปภาษีฉบับยกเครื่องเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้พรรครีพับลิกันเข้าใกล้ขั้นตอนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการปรับลกระดับภาษีของภาคธุรกิจและนิติบุคคล
อย่างไรก็ดี ยังคงมีความกังวลอยู่ว่าการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ดังกล่าวอาจทำระดับหนี้ของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นถึง 1.4 ล้านล้านเหรียญ ภายในระยะเวลา 10 ปี เพิ่มจากเดิมที่ระดับ 20 ล้านล้านเหรียญ แต่พรรครีพับลิกันก็ยังคงกล่าวย้ำว่าแผนดังกล่าวจะสามารถช่วยหนนุการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้
ทั้งนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมากล่าวแสดงความยินดีหลังการลงมติภาษีสามารถผ่านไปได้ และยังได้เตือนอีกว่า ทั้งบรรดา ส.ว. และ ส.ส. ยังคงต้องมีการปรับทบทวนร่างนโยบายร่วมกัน ซึ่งอาจทำให้ระดับภาษีนิติบุคคลปัจจุบันที่ระดับ 35% ปรับลดลงสู่ระดับ 20% ตามตามที่สัญญาไว้ หรืออาจเป็นระดับ 22% ก็ได้
การลงมติร่างนโยบายสามารถผ่านไปได้อย่างฉิวเฉียดด้วยคะแนนเสียง 51-49 เสียง ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารย์จากพรรคเดโมแครต ว่าการแก้ไขร่างนโยบายในช่วงนาทีสุดท้าย อาจส่งผลให้นโยบายเกิดข้อผิดพลาดขึ้นภายหลังได้
ทั้งนี้ นายบ็อบ คร็อกเกอร์ ส.ว.พรรครีพับลิกัน เป็นเพียงคนเดียวในพรรคที่โหวตไม่สนับสนุนร่างนโยบาย เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการขาดรายได้ของภาครัฐบาล
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงในร่างนโยบาย
พรรครีพับลิกันได้มีการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดบางอย่างในร่างนโยบายปฏิรูปภาษีในช่วงก่อนการลงมติเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนจากสมาชิกภายในพรรคที่ยังคงไม่ประกาศให้สนับสนุน โดยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมีดังต่อไปนี้
1. การปรับลดระดับภาษีของอสังหาริมทรัพย์จะยังคงมีอยู่ โดยกำหนดเพดานไว้ที่ระดับ 10,000 เหรียญ ซึ่งคล้ายกับข้กำหนดในร่างนโยบายของฝั่ง ส.ส. รีพับลิกัน จากเดิมที่จะยกเลิกภาษีด้านนี้ไปโดยสิ้นเชิง
2. คงระบบการชำระภาษีแบบทางเลือก (Alternative-Minimum Tax) สำหรับนิติบุคคลและธุรกิจ จากเดิมที่จะยกเลิกระบบนี้โดยสิ้นเชิง
3. ปรับลดระดับภาษีของนิติบุคคลสู่ระดับ 20% จากเดิมที่ 35% อย่างถาวร ขณะที่ผลกำไรของบริษัทที่ทำการค้าขายระหว่างประเทศจะสามารถจ่ายภาษีด้วยอัตราที่ต่ำลง
4. ร่างนโยบายของ ส.ว. รีพับลิกัน จะทำการยกเลิกการจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับประชาชนที่ไม่ได้ทำประกันสุขภาพภายใต้นโยบายโอบามาแคร์ และเพิ่มเบี้ยประกันสำหรับผู้ป่วยและผู้สูงอายุ