• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 30 มิถุนายน 2559

    30 มิถุนายน 2559 | Economic News





ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE Price Index) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับเดือนเม.ย. และเท่ากับที่ตลาดคาดการณ์ ขณะที่เมื่อเทียบรายปี ปรับเพิ่มขึ้น 1.6% ใน เดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเดือนเม.ย. เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดีระดับดังกล่าวยังน้อยกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2%

ขณะที่ การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐ (Personal Spending) เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนพ.ค. โดยปรับตัวขึ้น 0.4% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด ขณะที่ปรับเพิ่มตัวเลขเดิมในเดือน เม.ย. ที่เดิมระบุว่าเพิ่มขึ้น 1.0% เป็นเพิ่มขึ้น 1.1%

โดยยอดการใช้จ่ายผู้บริโภคของสหรัฐฯได้รับแรงหนุนราว 0.3% จากการเข้าซื้อสินค้าคงทน อาทิ รถยนต์ เป็นต้น

หากปรับตามเงินเฟ้อ การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือน พ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือน เม.ย. และการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเมื่อเทียบรายปี เพิ่มขึ้น 1.5% ในไตรมาสแรก

ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ขณะที่ค่าเงินปอนด์และยูโร แข็งค่าขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อวานนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการปิดสถานะทำกำไร ประกอบกับ Sentimentของนักลงทุนที่กลับเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น

ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.7% สู่ระดับ 1.3434 ดอลลาร์/ปอนด์, ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.33% สู่ระดับ 1.1101 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.46% สู่ระดับ 95.81 จุด

โดยนักลงทุนมีมุมมองที่ดีขึ้นเนื่องจากความเป็นไปได้ที่การเจรจาของอังกฤษต่อสหภาพยุโรปจะยืดยาวออกไป และไม่จบลงง่ายๆ

นายบารัค โอบาม่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คาดหวังว่า ในระยะสั้นเศรษฐกิจโลกจะมีเสถียรภาพ ขณะที่ภาพในระยะยาวนั้นยังน่าเป็นห่วง

ฟิทช์ เรทติ้งส์ คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนถึงเดือน ธ.ค.ปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่นักลงทุนในตลาดคาดการณ์ไว้ โดยนักลงทุนในตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ครั้งแรกในช่วงต้นปี 2018

ฟิทช์ คาดว่า อีซีบีจะขยายระยะเวลามาตรการ QE ออกไปจากเดิมซึ่งมีกำหนดสิ้นสุดลงในเดือน มี.ค. 2017 นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอังกฤษมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 0.25% ในปีนี้ จากปัจจุบันที่ระดับ 0.50% และอังกฤษจะเผชิญกับการลงทุนที่หดตัวลงอย่างหนัก โดยคาดการณ์ว่าการลงทุนของอังกฤษจะลดลง 5% ในปี 2017 และ 2018

เมื่อคืนนี้ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับตัวสูงขึ้น 4.2% สู่ระดับ 49.88 เหรียญ/บาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น หลังจาก EIA เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 4.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 526.6 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 2.3 ล้านบาร์เรล

นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยหนุนจาก Sentiment ของนักลงทุนที่กลับเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น จากความกังวลต่อ Brexit นั้นลดลงไปบ้าง และยังได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบที่มีโอกาสลดลงจากนอร์เวย์ และเวเนซุเอลา

Related
บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com