• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 22 มกราคม 2564

    22 มกราคม 2564 | SET News

·         บริษัท Siemens รายงานผลประกอบการแกร่งกว่าคาด พร้อมปรับทบทวนแนวโน้มการเติบโตรอบใหม่

 

·         สัญญาดัชนีอนุพันธ์สหรัฐฯปรับตัวลง ท่ามกลางตลาดที่มองแนวโน้มปิดสัปดาห์ด้วยการทำสูงสุดประวัติการณ์

 

สัญญาดัชนีอนุพันธ์ 3 ตัวหลักของสหรัฐฯในวันนี้เคลื่อนไหวอ่อนตัวลงเล็กน้อยหลังจากที่ 3 ดัชนีหลักในตลาดซื้อขายปิดสูงสุดเมื่อคืนนี้

 

Dow Jones Futures ปรับลงประมาณ 131 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 Futures และ Nasdaq-100 Futures อ่อนตัวลงในแดนลบเช่นกัน

 

โดยภาพรวม ดัชนีหลักมีการปรับสูงสุดทำประวัติการณ์จากนักลงทุนที่คาดว่ารายงานผลประกอบการกลุ่มเทคโนโลยีในสัปดาห์หน้าจะมีความแข็งแกร่ง ซึ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลักๆมีการปรับขึ้นประมาณ 0.6% ปิดพทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังจากที่หุ้นบริษัท Apple ปรับขึ้นกว่า 3.7%

 

·         ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางเหล่านักลงทุนที่เทขายทำกำไรหลังจากที่ปรับตัวสูงขึ้นได้ในช่วงก่อนหน้านี้ โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนล่าสุด

 


ขณะที่ความเชื่อมั่นของเหล่านักลงทุนก็ได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในจีน โดยมีรายงานว่าพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 103 รายในวันนี้

ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นลดลง 0.6% ที่ระดับ 720.17 จุด หลังจากเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 วันทำการ

ภาพรวมเดือนม.ค.ดัชนีปรับตัวขึ้นได้ 8.8% หลังจากปรับขึ้นไปทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่บริเวณ 727.31 จุด

 

·         ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี เนื่องจากเหล่านักลงทุน

นักลงทุนชะลอการลงทุนก่อนหน้าฤดูประกาศผลประกอบการขององค์กร ขณะที่บางส่วนมีกำไรหลังจากการเพิ่มขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความหวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ

ดัชนี Nikkei ปิด -0.44% ที่ระดับ 28,631.45 จุด ด้านดัชนี Topix -0.21% ที่ระดับ 1,856.64 จุด

ขณะที่ในช่วงก่อนหน้านี้ดัชนีปิดปรับตัวสูงขึ้นทำระดับสูงุสดในรอบ 30 ปี จากมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของทีมบริหารไบเดน

 

·         ตลาดหุ้นฮ่องกงร่วง-นักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังการปรับขึ้นอย่างดุเดือดในเดือนนี้ และการที่บริษัท CNOOC ก้าวออกจากดัชนี MSCI

 

ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 หลังจากที่เริ่มต้นปีนี้อย่างสดใสมากสุดตั้งแต่ปี 1985 และส่งผลให้ราคเคลื่อนไหวในเขต Overbought ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาที่เลวร้ายทำให้เกิดการ Lockdown และใช้มาตรการเข้มงวดมากขึ้นในประเทศจีนและต่างประเทศ "ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุน"



ดัชนี HSI ถูกแรงเทขายหลังทะลุ 30,000 จุดได้เป็นครั้งแรกในสัปดาห์นี้ โดยวันนี้ปิด -1.5% ที่ 29,480.11 จุด โดยอ่อนตัวลงมาหลังจากที่ 30 พ.ย. มีแรงเทขายในตลาดมากถึง 2.1%  ซึ่งปัจจัยลบต่อตลาดมาจากการที่หุ้นบริษัท CNOOC ดิ่งลงหลังจากที่ MSCI ตัดสินใจลบรายชื่อบริษัทออกจากกระดานซื้อขาย

 

ดัชนี Shanghai Compositye ปิด -0.4% ที่ 3,606.75 จุด ลดลงหลังจากที่สัปดาห์ที่แล้วปรับขึ้นไปราว 1.1%

 

หุ้นกลุ่ม Blue-Chip ของฮ่องกงยังคงทำระดับดีที่สุดในสัปดาห์นี้ โดยปรับขึ้นกว่า 3.2% และเดือนนี้ขยับขึ้นได้ประมาณ 8.3% ท่ามกลางเม็ดเงินไหลเข้าที่มากสุดเป็นประวัติการณ์ของจีนตลอดจนช่องทางการเงินที่เพิ่มขึ้นของโปรแกรม Stock Connect หรือ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์ของทางการจีนที่เชื่อมโยงการลงทุนของตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงเข้าด้วยกัน

 ·         นักลงหน้าใหม่นับล้านรายก้าวสู่ตลาดหุ้นจีนต่อเนื่องในปี 2020

ข้อมูลจากหน่วยงานกลางของจีน China Securities Depository and Clearing เผยว่า ในเดือนธ.ค. จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นจีนมีการทำสูงสุดประวัติการณ์ด้วยจำนวนนักลงทุนรายใหม่กว่า 1.62 ล้านราย เรียกว่าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากรายงานปีก่อนที่มีนักลงทุนรายใหม่สู่ตลาดเพียง 809,300 ราย โดยส่วนใหญ่ก้าวสู่การซื้อขายตลาดหุ้นในเซี่ยงไฮ้และเสิ่นเจิ้น


สำหรับตลอดปี 2020 มีนักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 18.02 - 177.77 ล้านราย หรือคิดเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่มสู่ตลาดประมาณ 1.5 ล้านราย/เดือน

 

·         AstraZeneca และบริษัทยาชั้นนำอื่นๆ จะหนุนให้หุ้นบริษัท BofA ปรับขึ้นเป็นตัวนำในตลาดหุ้นยุโรปในอีก 10 ปีข้างหน้า

 

นักวิเคราะห์จาก Bank of America มองว่า หุ้นบริษัทจะของพวกเขาจะเป็นหุ้นที่โดดเด่นที่สุดในตลาดหุ้นยุโรปช่วง 10 ปีข้างหน้า อันเนื่องจากหุ้นกลุ่มการเงินสุขภาพเทคโนโลยีพลังงาน และด้านอาหารในอนาคตที่เป็นตัวตัดสินการเป็นผู้นำของโลก

 

อย่างไรก็ดี เชื่อว่า การมาของพลังงานสีเขยวจะมีผลต่อหุ้นกลุ่มพลังงานในยุโพรปกว่า 8 ใน 10 ของบริษัทขนาดใหญ่ ที่เป็นมูลค่าตลาด

 

ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตวัคซีนที่เพิ่มสูงขึ้นจากบริษัท AstraZeneca และบริษัทยาอื่นๆจะมาหนุนกลุ่มเวชภัณฑ์และเทคโนโลยี ซึ่งดูเหมือนกลุ่มสุขภาพจะเป็นตัวหนุนความมั่งคั่งของยุโรป

 

·         หุ้นยุโรปเปิดปรับลง ตลาดให้ความสนใจการระบาดที่เพิ่มขึ้นและความหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

ตลาดหุ้นยุโรปเปิดปรับตัวลดลงในวันนี้ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ให้ความสนใจไปยัง

- โอกาสการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

- การระบาดของไวรัสโคโรนา

- การรอข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของฝั่งยุโรป

 



ดัชนี Stoxx 600 เปิด -0.5% ในช่วงต้นตลาด ท่ามกลางหุ้นกลุ่มรถยนต์ที่ปรับตัวลดลงไปกว่า 1.3% ฉุดให้หุ้นหลักส่วนใหญ๋ปรับตัวลดลง

 

ตลาดหุ้นยุโรปยังขาดแรงหนุนจากตลาดหุ้นเอเชียด้วย โดยตลาดส่วนใหญ่ที่ปรับตัวลงเป็นผลมาจาก "แรงเทขายทำกำไร" ของนักลงทุนในตลาด หลังจากที่ขึ้นไปแข็งแกร่งขานรับความหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่จากทีมบริหารของนายไบเดน

 

นักลงทุนในตลาดยุโรปจับตา การระบาดของไวรัสโคโรนาในจีน ที่ดูจะทำให้เกิดการใช้มาตรการคุมเข้มรอบใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยรายงานล่าสุดพบจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในจีนเพิ่มสูงขึ้น 103 ราย ลดลงจากวันก่อนที่อยู่ที่ระดับ 144 ราย อันเนื่องจากการใช้มาตรการตรวจหาเชื้อเชิงรุกเป็นจำนวนมากในกรุงปักกิ่ง

 

ข่าวเรื่องวัคซีนจะพบว่า Pfizer และ BioNTech เห็นพ้องกันสำหรับข้อตกลงของ WHO ในเรื่องการจัดหาอุปทานและการเข้าถึงวัคซีน Covax โดยมีวัตถุประสงค์ให้เข้าถึงกลุ่มประเทศรายได้น้อย

 


·         อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

 

- ตลาดหุ้นไทยปิดเช้าลบ 9.51 จุด Sentiment นอกปท.ไม่ดี-เกณฑ์ฟรีโฟลตใหม่ส่งตลาดผันผวน

ตลาดหลักทรัพย์ฯปิดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,504.00 จุด ลดลง 9.51 จุด (-0.63%) มูลค่าการซื้อขายราว 50,859 ล้านบาท

การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,518.05 จุด และทำระดับต่ำสุดที่ 1,499.74 จุด

 

- กำไรสุทธิปี 63 ของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทยกรุงศรีอยุธยาซีไอเอ็มบี ไทย,ทีเอ็มบี และทิสโก้ พบว่ามีกำไรสุทธิลดลง 20,882.95 ล้านบาท จาก 87,985.90 ล้านบาท ลดเหลือ 69,992 ล้านบาท หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ธนาคารต้องตั้งสำรองผลขาดทุนสูงขึ้น อีกทั้งยังเกิดหนี้เสียเพิ่มขึ้น ซึ่งยังมีเฉพาะธนาคารทีเอ็มบีเท่านั้นที่กำไรเพิ่มขึ้นหลังมีการควบรวมกับธนชาต

 

- แบงก์ชาติชี้โควิด-19 ระบาดรอบใหม่ ฉุดเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคาดลากยาวเป็นปลายปี 2565 เผยแรงงานอ่วมหนักกระทบ 4.7 ล้านคน "อาคม" มั่นใจปีนี้จีดีพีโต 4-5% เตรียมปรับโครงสร้างมุ่งเศรฐกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมสีเขียว และเพิ่มงบประมาณดูแลสุขภาพรองรับโรค    

 


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com