• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 15 มกราคม 2564

    15 มกราคม 2564 | Gold News

ทองคำปรับตัวสูงขึ้นขานรับถ้อยแถลงประธานเฟดส่งสัญญาณ “DOVISH”

 

·         ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นขานรับถ้อยแถลงของนายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด ที่ยังคงตอกย้ำและหวังจะใช้ดอกเบี้ยระดับต่ำต่อไป ประกอบกับตลาดยังคงรอคอยการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของสหรัฐฯที่จะมายิ่งหนุนให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ขณะที่ข้อมูลผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ออกมาแย่ขึ้นอย่างมาก

 

·         ราคาทองคำตลาดโลกปรับขึ้น 0.8หลังจากที่ช่วงนายโพเวลล์ กล่าวถ้อยแถลงราคาปรับขึ้นไป 0.3ไปที่ 1,848.22 เหรียญ


·         สัญญาทองคำส่งมอบเดือนก.พ. ปิด -0.2ที่ระดับ 1,851.40 เหรียญ/บาร์เรล

 


·         กองทุนทองคำ SPDR ขายทองออก 10.21 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 1,161 ตัน ซึ่งเป็นการทองคำต่อเนื่อง วันทำการที่ขายออกสูงถึง 20.26 ตัน

 

·         ถ้อยแถลงนายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด (00.30น.)


- การขึ้นดอกเบี้ยจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้ 

- จะไม่ทำการขึ้นดอกเบี้ยตราบเท่าที่ “เงินเฟ้อ” ยังอยู่ในระดับต่ำ แม้อัตราว่างงานจะปรับลงต่ำก็ตาม
- จับตาการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน ในการกำหนดกรอบนโยบาย และคาดการณ์เงินเฟ้อควบคู่กันด้วย
- ปฏิเสธการบ่งชี้ว่าเฟดจะเริ่มต้นลดการเข้าซื้อพันธบัตรในระยะสั้
อย่างไรก็ดี ตลาดคาดถ้อยแถลงของเขามีสัญญาณที่เป็นนัยสำคัญที่อาจเห็นการเริ่มต้นปรับลดการเข้าซื้อพันธบัตรได้

ถ้อยแถลงของประธานเฟดสอดคล้องกับรายงานประชุมเฟดเดือนธ.ค. ที่แสดงให้เห็นว่า สมาชิกเฟดส่วนใหญ่ยังจะคงแนวทางการผ่อนคลายทางการเงินต่อไป จนกว่าจะเห็นความคืบหน้าอย่างมีเสถียรภาพของเป้าหมายที่ตั้งไว้ในเรื่องของ “จ้างงาน” และ “เงินเฟ้อ” เป็นสำคัญ

 

·         นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโสจาก OANDA มองว่า ถ้อยแถลงของประธานเฟดค่อนข้างชัดเจนที่ว่า “เฟดจะยังใช้แนวทางผ่อนคลายทางการเงิน” ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าเฟดจะยังผ่อนคลายทางการเงินฉบับพิเศษต่อไป นี่จึงเป็นเหตุผลที่เห็นทองคำปรับตัวสูงขึ้น

 

นอกจาก สัญญาณตลาดแรงงานที่ยังไม่แข็งแกร่ง และคนว่างงานยังเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งการันตีว่า “เฟดจะยังผ่อนคลายทางการเงินต่อไป” ประกอบกับความกังวลเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนาก็ยิ่งทำให้ทองคำยังมีแรงหนุนเชิงบวก

·         ราคาซิลเวอร์ปิด +1.7ที่ระดับ 25.57 เหรียญ

·         ราคาแพลทินัมปิด +1.5ที่ระดับ 1,109.98 เหรียญ

·         ราคาพลาเดียมปิด +0.3ที่ระดับ 2,391.08 เหรียญ


·         ไบเดน” กับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ  1.9 ล้านล้านเหรียญ



นายโจ ไบเดน เปิดเผยแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนรายละเอียดของแพ็คเกจเยียวยา Covid-19 วงเงินรวมกว่า 1.9 ล้านล้านเหรียญ เพื่อสนับสนุนภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ตลอดจนการระบาด ซึ่งข้อเสนอแพ็คเกจนี้ เรียกว่า American Rescue Plan

ประกอบด้วยมาตรการช่วยเหลือหลายๆครอบครัว และหวังที่จะเพิ่มการสนับสนุนทางการเงิน เพื่อให้ภาคครัวเรือนและบริษัทต่างๆมีเสถียรภาพจนกว่าวัคซีน Covid-19 จะกระจายได้เป็นวงกว้างมากขึ้น

 

·         “แนนซี-ชูเมอร์ส”  ให้คำมั่นหนุนแผนเศรษฐกิจไบเดน

 

·         งบประมาณประจำปีของรัฐนิวยอร์กจนถึงปี 2022 พบช่องว่างทางการเงินขยายตัวขึ้น 5.25 พันล้านเหรียญ  สู่ระดับ 9.23 หมื่นล้านเหรียญ สำหรับงบที่จะเริ่มต้นในวันที่ 1 ก.ค. อันเป็นผลจากวิกฤต Covid-19

 

·         การฟ้องร้องครั้งที่ 2 ของนายทรัมป์ ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐฯ




อย่างไรก็ดี ทางทำเนียบขาวก็เผยให้เห็นถึงการที่บริษัทขนส่งเริ่มมีการขนของของทีมบริหารชุดเก่าออกจากทำเนียบขาวแล้ว

 

·         จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯปรับขึ้นอย่างมากแตะ 965,000 ราย จากวิกฤตไวรัสระบาดหนัก

จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นแตะ 965,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ส.ค. ปีที่แล้ว และส่งสัญญาณว่าการระบาดอย่างหนักของไวรัสได้ส่งผลกระทบให้เกิดการว่างงานเพิ่มจำนวนสูงขึ้



เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนจะพบว่ามีการว่างงานเพิ่มขึ้น 181,000 ราย จากระดับ 784,000 ราย อันเนื่องจากที่หลายๆรัฐเผชิญกับภาวะ Shutdown ในภาคธุรกิจบางส่วน โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนีย, นิวยอร์ก และหลายๆรัฐ รวมทั้งมีการใช้มาตรการคุมเข้มมากขึ้น จึงทำให้หลายฝ่ายเริ่มคาดว่าเศรษฐกิจอาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการระบาด


นักเศรษฐศาสตร์บางส่วน คาดหวังว่า หากวัคซีน Covid-19 สามารถกระจายได้อย่างแพร่หลายมากขึ้นก็น่าจะทำให้ช่วงครึ่งปีหลังเห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้บ้าง ประกอบกับการที่ทีมบริหารไบเดนพร้อมที่จะผลักดันการกระตุ้นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ที่จะยิ่งเป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจฟื้น


แต่ก็มีนักเศรษฐศาสตร์บางส่วน “กังวล” ว่า จำนวนคนว่างงานที่ยังอยู่ในระดับล้านล้านราย โดยเฉพาะในหลายๆพื้นที่บริษัทรายใหญ่ 1 ใน 6 กำลังก้าวออกจากการดำเนินธุรกิจ ทำให้มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบเชิงลบ ที่อาจไม่ก่อให้เกิดการฟื้นตัวใดๆในเวลานี้

 

·       CNBC เผยข้อมูลการศึกษาในกลุ่มธุรกิจ พบว่า Trade War สหรัฐฯ-จีน ก็เป็นตัวกดดันทำให้ว่างงานสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 245,000 ราย

 

·         สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา



 

ทั่วโลกพบยอดติดเชื้อสะสมทะลุ 93 ล้านราย และเสียชีวิตแตะ 2 ล้านรายเป็นที่เรียบร้อย

โดยยอดติดเชื้อรายวันทั่วโลกรวมเพิ่มขึ้น 737,897 ราย ทำให้ยอดสะสมทั่วโลกอยู่ที่ 93.49 ล้านราย

ยอดติดเชื้อในสหรัฐฯรายวันยังเพิ่มขึ้นกว่า 200,000 ราย ทำให้ยอดรวมสะสมอยู่ที่ 23.84 ล้านราย

นอกจากนี้ ยอดเสียชีวิตรายวันในสหรัฐฯยังสูงกว่า 3,000 ราย ทำให้ยอดเสียชีวิตรวมสะสมล่าสุดอยู่ที่ 397,821 ราย

 

ด้านยอดติดเชื้อในเยอรมนีล่าสุดสะสมทะลุ 2 ล้านราย


ทางฝั่งเอเชียพบว่ายังคงระบาดหนักและล่าสุดยอดสะสมญี่ปุ่นทะลุ 300,000 ราย สู่ระดับ 302,623 ราย ด้วยอัตราการติดเชื้อรายวันกว่า 5,000 ราย

จีนเองก็พบยอดติดเชื้อสะสมเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดพบติดเชื้อเพิ่ม 138 ราย รวมสะสม 87,844 ราย และมีการพบผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน 1 ราย เป็นหญิงสาวที่ไม่แสดงอาการ ทำให้ยอดรวมเสียชีวิตอยู่ที่ 4,635 ราย

 

ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 271 ราย เป็นติดเชื้อภายในประเทศ 259 คน ยอดผู้ป่วยสะสม 11,262 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย ยอดเสียชีวิตสะสมรวม 69 ราย ภาพรวมกระจายอยู่ใน 60 จังหวัด และมี 17 จังหวัดที่ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ



โฆษก ศบค.กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ติดเชื้อภายในประเทศระหว่างวันที่ 15 ธ.ค.-14 ม.ค. มียอดรวม 7,025 ราย เมื่อแยกย่อยเป็นรายสัปดาห์ จะเห็นว่าสัปดาห์แรกของปี 64 กราฟยังพุ่งสูงขึ้น มีผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 2,674 ราย แต่สัปดาห์นี้กราฟลดลงมาขณะนี้เหลืออีก 2 วัน แต่ผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 1,209 ราย ถือว่าวางใจได้ระดับหนึ่ง

 

รายงานจากไทยรัฐ ระบุว่า ลุ้น 28 จังหวัดแดงลดระดับ มาตรการเข้ม ยอดกราฟดีขึ้น แม้จะตายเพิ่ม 2 คน

 

 

·         บริษัทยา Moderna วางแผนที่จะทดลองการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดในหนึ่งปี หลังจากการฉีดวัคซีนในครั้งแรกถึงสองเข็ม เนื่องจากการภูมิคุ้มกันของวัคซีนตัวใหม่ยังไม่ชัดเจน

 

·         องค์กร WHO  เข้าตรวจสอบหาต้นตอ Covid-19 ในจีน แต่ประสบปัญหาจีนขวาง  ไม่ให้สมาชิกสองคนขององค์กร WHO เข้าสู่ประเทศจีน จากจำนวนสมาชิก WHO 10 ราย

ทั้งนี้ มีรายงานพบว่านักวิทยาศาสตร์จำนวนอีกสองคนของ WHO ยังคงอยู่ในสิงคโปร์ หลังจากผลตรวจโควิดออกมาเป็นบวก

 

·         ตลาดบางส่วนจับตาวิกฤตทางการเมืองในอิตาลีครั้งใหม่ รวมทั้งสถานการณ์การระบาดของไวรัสภายในประเทศ ที่ทั้งหมดอาจยิ่งกระทบให้เศรษฐกิจเผชิญกับระดับหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น

ปัญหาทางการเมืองในอิตาลีถูกเรียกว่าเป็น “การขาดภาวการณ์รับผิดชอบ” ของกลุ่มนักการเมืองและสาเหตุจากผลประโยชน์ส่วนตน ทำให้นักวิเคราะห์กังวลและกล่าวเตือนผู้นำในเวลานี้ ขณะที่อดีตนายกฯอิตาลี ตัดสินใจถอนการสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลในปัจจุบัน

 

·         เกาหลีเหนือแสดงแสนยานุภาพ “ขีปนาวุธเรือดำน้ำใหม่” หลังจบประชุมสภาคองเกรสเกาหลีเหนือ



·         อ้างอิงจากประชาชาติธุรกิจ

เงินบาทวันนี้เปิดตลาดทรงตัว ที่ 30 บาท/ดอลลาร์

เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ที่ 30.00 บาท/ดอลลาร์ ไม่เปลี่ยน แปลงจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อน ประเมินกรอบเงินบาทระหว่างวัน 29.90-30.10 บาท/ดอลลาร์

ตลาดการเงินสหรัฐพักฐาน ขณะที่ทิศทางเงินบาทยังขึ้นอยู่กับแนวโน้มฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติซึ่งก็ขึ้นกับสถานการณ์ Covid-19ในประเทศ ถ้าบอนด์ยีลด์ไทยปรับตัวขึ้นตามฝั่งสหรัฐ ก็จะไม่ส่งผลให้เงินบาทอ่อนหรือแข็งค่ามาก

ภาพรวมเงินบาท ระยะสั้นแกว่งตัวในกรอบแคบ จุดที่น่าสนใจคือการที่บอนด์ยีลด์ไทยอายุสิบปี ขยับตัวขึ้นตามยีลด์สหรัฐมาที่ระดับ 1.27% สูงที่สุดในรอบกว่าสองเดือน คาดว่า เกิดจากนักลงทุนที่เริ่มลดปริมาณการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นยีลด์ทั้งไทยและสหรัฐปรับตัวขึ้นต่อ เราจึงคงเป้าหมายยีลด์ระยะยาว (สิบปี) ในไทยและสหรัฐสิ้นปี 2021 ที่ 1.50% ละ 1.75% ตามลำดับ นอกจากนี้ก็เชื่อว่าถ้ายีลด์ทั้งสองประเทศปรับตัวขึ้นพร้อมกัน ก็จะไม่ส่งผลให้เงินบาทอ่อนหรือแข็งค่ามาก

 

·         อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่า การส่งออกไทยปี 64 พลิกกลับมาโต 3.6% จากปี 63 ที่หดตัว -7% โดยปัจจัยบวกสำคัญ คือ 1.เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้น โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ GDP โลกโต 5.2%

ขณะที่ธนาคารคารโลก (World Bank) คาดการณ์ GDP โลกโต 4% และ 2.การฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิดให้ กับประชากรโลกอย่างน้อย 40% สำหรับแนวโน้มเงินบาทปีนี้ มองว่าทิศทางยังแข็งค่าต่อเนื่องจากปลายปี 63 โดยคาดว่าค่าเงินบาทเฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับ 31.00 บาท/ดอลลาร์ (กรอบ 30.00-32.00) แข็งค่าจากทั้งปี 63 ที่ระดับ 31.29 บาท/ดอลลาร์ การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นทุก 1% จะมี ผลให้มูลค่าการส่งออกลดลง 0.11%

 

·         อ้างอิงจากสำนักข่าวประชาชาติธุรกิจ

เอเซียพลัส” ประเมินความกังวลประสิทธิภาพวัคซีนต่ำ มีโอกาสเป็นปัจจัยหน่วงการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก-เศรษฐกิจไทยได้ เหตุกดดันกระจายวัคซีนช้าลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจใช้เวลานานขึ้นกว่าจะกลับมาฟื้นตัว หลัง Sinovac มีประสิทธิภาพต่ำ ล่าสุด มาเลเซีย-สิงคโปร์” ชะลอนำเข้า

 

·         อ้างอิงจากสำนักข่าวสยามธุรกิจ

- ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยพ้นจากภาวะถดถอยในปี 2564 โดยจะขยายตัว 2.5%  แต่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน คาดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 จำกัดกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศตลอดไตรมาสแรกโดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวเป็นเหตุให้รัฐต้องมีมาตรการเยียวยาโควิดรอบสอง

ส่วนภาคการส่งออกกระทบทางอ้อมจากเศรษฐกิจโลกที่จะฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ขณะเดียวกัน แนะธุรกิจเตรียมเผชิญกับบริบทการเปลี่ยนแปลงที่เป็น Megatrend ของโลก


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com