• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 13 มกราคม 2564

    13 มกราคม 2564 | Gold News


ทองคำปรับขึ้น จากดอลลาร์-อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอ่อนตัว

·         ราคาทองคำปิดปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางปริมาณการซื้อขายปานกลางในตลาดจากการที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมา 0.44% แถว 90.074 จุด ซึ่งเป็นการร่วงลงวันแรกในรอบ 4 วันทำการ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี เผชิญแรงขายหลังทำสูงสุดที่ 1.164% ประกอบกันการทำ Short Covering จึงทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี เช้านี้ปรับลงมาที่ 1.117%


·         ราคาทองคำตลาดโลกปิด +0.2ที่ 1,848.31 เหรียญ หลังทำต่ำสุดนับตั้งแต่ 2 ธ.ค. ขณะที่สัญญาทองคำส่งมอบเดือนก.พ. ปิด -0.4ที่ 1,844.20 เหรียญ

·         กองทุนทองคำ SPDR ถือครองทองคำเท่าเดิมที่ 1,181.71 ตัน

·         นักวิเคราะห์จาก BMO กล่าวว่า นักลงทุนมีความตั้งใจเข้าซื้อตราสารหนี้สหรัฐฯมากขึ้น จึงหนุนให้สินทรัพย์อื่นๆในสหรัฐฯ อาทิ ตลาดหุ้นฟื้นตัวตาม และทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ทั้งหมดนี้จึงช่วยหนุนทองคำในสภาวะขาขึ้นอีกครั้ง

·         นักวิเคราะห์ทองคำอาวุโสจาก Kitco กล่าวว่าการจะเกิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่จากสหรัฐฯจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ ขณะที่หลายๆฝ่ายมองว่าอาจนำมาซึ่งปัญหาด้านเงินเฟ้อสูงขึ้น


·         ราคาซิลเวอร์ปรับขึ้น +2.3ที่ 25.49 เหรียญ

·         แพลทินัมปิด +3.3% ที่ 1,065.42 เหรียญ

·         พลาเดียมปิด +0.4ที่ 2,381.18 เหรียญ

 

·         Goldman Sachs ระบุว่า Bitcoin เริ่มโตเต็มที่ และการเข้าซื้อของสถาบันการเงินก็ดูเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆของตลาด แต่หากมีเม็ดเงินที่เพิ่มมากขึ้นจากสถาบันการเงินทั่วโลกก็อาจทำให้ Bitcoin มีเสถียรภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ดี Bitcoin เผชิญแรงเทขายในวันจันทร์ที่ผ่านมา และทำให้มูลค่าการซื้อขายในตลาดลดลงไปถึง 2 แสนล้านเหรียญภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง


·         ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาทั่วโลกขยับใกล้ 92 ล้านราย ขณะที่การเสียชีวิตทั่วโลกใกล้ทะลุ 2 ล้านราย

โดยล่าสุดยอดติดเชื้อสะสมทั่วโลกอยู่ที่ 91.97 ล้านราย โดยมียอดติดเชื้อรายวันรวมทั่วโลกที่ 652,030 ราย ด้านการเสียชีวิตทั่วโลกเข้าสะสมที่ 1.96 ล้านราย  โดยรวมเพิ่มขึ้น 15,510 รายใน 1 วัน



ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯทะลุ 23 ล้านรายมาที่ 23.35 ล้านราย โดยใน 1 วันมียอดติดเชื้อเพิ่มขึ้น 212,404 ราย ขณะที่การเสียชีวิตรายวันเพิ่มมากถึง 4,085 ราย รวมเสียชีวิตสะสมที่ 389,425 ราย

 

ยอดติดเชื้อในอังกฤษรายวันพุ่ง 45,533 ราย ล่าสุดสะมที่ 3.16 ล้านราย ทางด้านแอฟริกาใต้ติดเชื้อสะสมรวมกว่า 1.26 ล้านราย

 

สถานการณ์ในฝั่งเอเชีย:
ญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื้อใหม่รายวันเกือบ 6,000 ราย รวมสะสม 292,212 ราย
มาเลเซียพบผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งทะลุ 3,000 รายตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการทะลุ 3,000 รายครั้งแรกนับตั้งแต่มีการระบาดของไวรัส ส่งผลให้กษัตริย์มาเลเซีย ประกาศภาวะฉุกเฉินระดับประเทศถึง 1 ส.ค.

ขณะที่นายกฯมาเลเซียก็ประกาศห้ามการเดินทางจากต่างประเทศ ควบคู่กับการ Lockdown ในหลายๆเมืองประมาณ 2 สัปดาห์ ขณะที่บริเวณพรมแดนจะเริ่มต้นวันนี้

ล่าสุดประเทศมาเลเซียยังมียอดติดเชื้อรายวันเพิ่ม 3,309 ราย สู่ระดับสะสมที่ 141,533 ราย

 

·         สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย พบยอดติดเชื้อรวม 287 ราย ใกล้ทะลุ 11,000 ราย
ล่าสุดไทยมียอดติดเชื้อสะสมที่ระดับ 10,834 ราย

ทางด้าน "ร้อยเอ็ด" ไข่แตก พบผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายแรก จึงทำให้เป็นจังหวัดที่ 59 ของไทย



กทม. มีการสรุปสถานการณ์ยอดสะสม Covid-19 ล่าสุดทะลุ 527 ราย กระจายอยู่ 48 เขต

อยู่บนพื้นที่สีแดง 12 เขต มากที่สุดอยู่ที่
- บางขุนเทียน
- หนองแขม
- บางแค

พื้นที่ที่ยังเหลือและไม่พบผู้ติดเชื้อคือ “หลักสี่” และ “สะพานสูง” โดยยังคงลุ้นช่วงปลายเดือนม.ค. อาจมีการปรับทบทวนการดำเนินมาตรการหากจำนวนผู้ติดเชื้อยังไม่ด ก็อาจเกิดการออกมาตรการเพิ่มเติมได้

ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ 153 ราย

 


·         ญี่ปุ่นฉายแววขยายพรก. ฉุกเฉิน ขณะที่ประเทศชะลอการจัดกีฬาโอลิมปิกส์

 

·         สหรัฐฯจะเรียกร้องให้มีการตรวจหาเชื้อ Covid-19 และมีผลเป็นลบเท่านั้นจึงจะสามารถเดินทางผ่านทางสายการบินได้

 

·         นักลงทุนทั่วโลกเรียกร้องให้ยุติการเดินเรือทางทะเลที่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดไวรัสโคโรนาที่เพิ่มขึ้นได้

 

·         บราซิลเผย วัคซีนต้านโควิด โคโรนาแวค’ ของจีน ต้านไวรัสได้ 50.4%

นักวิจัยจากสถานบันชีวการแพทย์ บูตันตัน’ ในประเทศบราซิล เผยว่า การทดสอบวัคซีนต้านไวรัสCovid-19 ภายใต้ชื่อ “CoronaVac” ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท Sinovac Biotech (ซีโนแวค ไบโอเทคของจีน ในขั้นสุดท้ายชี้ว่า วัคซีนตัวนี้มีประสิทธิภาพในการต้านไวรัสโดยรวมเพียง 50.38% ซึ่งเกินเกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับการอนุมัติใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และต่ำกว่าตัวเลขประเมิน 78% ที่ประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อนมาก

 

 

·         นางลิซ ชีเนย์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน รวมทั้งสมาชิกพรรครายอื่นๆจะทำการโหวตฟ้องร้อง ทรัมป์”   

เพื่อให้รับผิดชอบต่อเหตุความรุนแรงและมีผู้เสียชีวิตในรัฐสภาฯ จากการที่นายทรัมป์ให้การสนับสนุนด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ และนำไปสู่การวางเพลิงในอาคาร

 

และยังมีสัญญาณว่า 3 สมาชิกพรรครีพับลิกันของสภาผู้แทนราษฎร ประกาศที่จะสนับสนุนการฟ้องร้องทรัมป์ในครั้งนี้

 

·         ทรัมป์” เตือน การฟ้องร้องอาจเป็น อันตรายอย่างยิ่ง” ขณะเดียวกันเขาไม่แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ในรัฐสภาที่เกิดขึ้น

 

·         สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เรียกร้องให้ “ไมค์ เพนซ์” รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และทีมบริหารทำการถอดถอนนายทรัมป์ ออกจากตำแหน่ง

 

·         ล่าสุด นายเพนซ์ กล่าวกับ “เพโลซี” ว่าเขาจะไม่ทำการเรียกร้องในการใช้การแก้ไขบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ครั้งที่ 25 เพื่อถอดถอนนายทรัมป์

ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะให้สิทธิ รองประธานาธิบดีและคณะรัฐมนตรีเกินกึ่งหนึ่งก็มีสิทธิที่จะออกจดหมายฉบับที่ 2 เพื่อยืนยันความเห็นเดิมว่าประธานาธิบดีเป็นบุคคลไร้ความสามารถ และประธานาธิบดีจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้รองประธานาธิบดีทำหน้าที่รักษาการแทน

 

·         รัฐบาลกลางสหรัฐฯพิจารณาการตั้งข้อหาการปลุกระดมและการสมรู้ร่วมคิดในการสอบสวนนายทรัมป์ ต่อเหตุจลาจลในอาคารรัฐสภา และคาดจะจับกุมผู้ก่อเหตุและผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวได้นับร้อยคนในเร็วๆนี้

ด้านเจ้าหน้าที่ FBI ยืนยันรายงานที่ได้รับจากหน่วยข่าวกรองถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดความรุนแรงในวันพุธที่แล้ว และมีการแบ่งปันข้อมูลอื่นๆกับหน่วยงานด้านกฎหมายแล้ว

 

·         CNBC ระบุว่า สมาชิกเฟดส่วนใหญ่ หนุนมุมมองยังคงการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน

 

·         นางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัสซิตี้ มีท่าทีระมัดระวังต่อเงินเฟ้อที่อาจปรับขึ้นได้เร็วกว่าคาดการณ์

 

·         ตลาดส่วนใหญ่กำลังจับตาการปรับขึ้นของเงินเฟ้อ จากสัญญาณของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับข้อมูลดัชนีราคาผู้ผลิต (CPI) สหรัฐฯที่จะประกาศในคืนนี้




ซึ่งรายงาน  CPI เดือนธ.ค. เป็นปัจจัยที่สำคัญมากต่อตลาดในการดูผลสะท้อนของดัชนีราคาผู้ผลิต  ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี จากคาดการณ์ที่จะเห็นเงินเฟ้อสูงขึ้น ขณะที่นักลงทุนบางส่วนคาดว่าค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อในอีก 10 ปีข้างหน้าอาจสูงขึ้นต่อ


·         ระหว่างช่วงรอการส่งมอบอำนาจแก่นายไบเดน สหรัฐฯมีการยกเลิกการเดินทางเยือนไต้หวัน ขณะที่ไต้หวันเคารพการตัดสินใจของสหรัฐฯครั้งนี้

 

·         “คิม จอง อึน” ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือเรียกร้องให้สภาคองเกรสของประเทศทำการสนับสนุนกองกำลังทหารให้มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น



·         นักบริหารการเงิน กล่าวว่า เงินบาทเปิดเมื่อวานนี้เปิดที่ 30.17 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ 30.15 บาท/ดอลลาร์ จึงประเมินกรอบเงินบาทระหว่างวันที่ 30.12-30.32 บาท/ดอลลาร์

 

ภาพรวมตลาดการเงินเริ่มปรับฐาน เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรหุ้นที่ปรับตัวบวกรวดเร็วช่วงต้นปี ขณะเดียวกันก็มีความกังวลเรื่องการแบนนายโดนัลด์ ทรัมป์ จากกลุ่มเทคโนโลยีใหญ่ที่ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงขอบเขตอำนาจของบริษัทเหล่านี้

 

·         อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

 

BGRIM ใช้งบ 22.5 ลบ. ลงทุน 45% ในบ.ย่อย UV ขยายธุรกิจพลังงานเกี่ยวข้องอสังหาฯ

 

- รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนพฤศจิกายน 2563

การส่งออกของไทยมีสัญญาณฟื้นตัวที่ดี สินค้าส่งออกปรับตัวดีขึ้นหลายรายการ ตามการ ฟื้นตัวของเศรษฐกิจการค้าโลก สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของโลก (Global Manufacturing PMI) อยู่เหนือระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 นอกจากนี้ องค์กรระหว่างประเทศได้ปรับการคาดการณ์ประมาณการเศรษฐกิจดีขึ้นจากเดิม เนื่องจากหลายประเทศมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกจากความสำเร็จของการพัฒนาวัคซีน

การส่งออกของไทย เดือนพฤศจิกายน 2563 มีมูลค่า 18,932.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.65 ขณะที่การส่งออก 11 เดือนแรก (มกราคม-พฤศจิกายน) มีมูลค่า 211,385.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 6.92

สินค้าที่ขยายตัวได้ดี ยังคงเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
1) สินค้าอาหาร  
2) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (
Work from Home) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน รวมทั้งโทรศัพท์และอุปกรณ์
3) สินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด

แนวโน้ม และมาตรการส่งเสริมการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2563 - 2564

การส่งออกของไทยได้รับปัจจัยบวกจากความเชื่อมั่นเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวชัดเจนและจะส่งผลดีต่อการส่งออกในเดือนสุดท้ายของปี หากไทยได้รับมอบวัคซีนในช่วงกลางปี 2564 ตามกำหนด จะฟื้นคืนความเชื่อมั่นได้เร็วขึ้น และส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัว ซึ่งจะทำให้สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง

ขณะที่การส่งออกในปี 2564 จะได้รับปัจจัยบวกจากการผลิตและการกระจายวัคซีน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และภาคการขนส่งที่จะสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติเกิดความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ย่อมส่งผลดีต่อราคาน้ำมัน และการส่งออกสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้

 

- คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 473,150,000 บาท ให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID - 19) ระยะที่ 5

 

- คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2564 ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการพัฒนาศักยภาพระบบบริการสุขภาพ รองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของหน่วยงานส่วนภูมิภาค ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข

 

- คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการด้านการเงินเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินมาตรการด้านการเงินเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประกอบด้วยมาตรการเสริมสภาพคล่อง (สินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อ) และมาตรการบรรเทาภาระหนี้สิน (พักชำระหนี้)

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวเอเปค พ.ศ. 2563 - 2567 และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาให้ความรับรองร่างแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวเอเปค พ.ศ. 2563 ? 2567 ร่วมกับรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ

ในการประชุมคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเอเปค ครั้งที่ 54 (5 ? 13 พฤษภาคม 2562) ณ เมืองวินญ่า เดลมาร์ เขตเศรษฐกิจชิลี ที่ประชุมได้ร่วมรับรองร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. 2563 ? 2567 (APEC Tourism Strategic Plan: APEC TSP 2020 ? 2024) โดยมีประเด็นสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่

1) การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล (Digital Transformation)

2) การพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Capital Development)

3) การอำนวยความสะดวกในการเดินทางและความสามารถในการแข่งขัน (Travel Facilitation and Competitiveness)

4) การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Sustainable Tourism and Economic Growth)


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com