• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2563

    25 พฤศจิกายน 2563 | Economic News
 

· ดอลลาร์อ่อนค่าจากนักลงทุนกลับหาสินทรัพย์เสี่ยง

ดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.4% แถว 92.129 จุด เพราะได้รับแรงกดดันจาก

- ความคืบหน้าของวัคซีน Covid-19

- คาดการณ์กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มจากรัฐบาลสหรัฐฯชุดใหม่

- เม็ดเงินจากกองทุนที่ถือดอลลาร์ ไหลกลับสู่ "สินทรัพย์เสี่ยง"

- Bitcoin ผันผวน เคลื่อนไหวใกล้สูงสุด All-Time High และนักลงทุนมีสัญญาณเข้าซื้อมากขึ้น

- เจ้าหน้าที่วิจัยต่างๆ ชี้ว่า *วัคซีน Covid-19 อาจพร้อมใช้ก่อนสิ้นปีนี้* หนุนหุ้นทำสูงสุดประวัติการณ์ กดดัน "ดอลลาร์" ในฐานะ Safe-Haven

- ดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนตัวลงต่อจากคาดการณ์ที่นายไบเดนเลือกอดีตประธานเฟดนั่งเก้าอี้รมว.คลังสหรัฐฯ

ขณะที่ยูโรทรงตัวบริเวณ 1.1901 ดอลลาร์/ยูโร ใกล้ระดับแข็งค่ามากสุดรอบ 2 สัปดาห์

เงินปอนด์แข็งค่าแนว 1.3363 ดอลลาร์/ปอนด์ ใกล้ระดับแข็งค่ามากสุดรอบกว่า 2เดือน

เยนทรงตัวที่ 104.48 เยน/ดอลลาร์


· เทรดเดอร์ค่าเงินดิจิทัล ชี้ Bitcoin ทำ All-Time Highs อาจแตะ 74,000 เหรียญได้

ความร้อนแรงของ Bitcoin กำลังเริ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่วานนี้ปรับขึ้นไปยืนเหนือ 19,000 เหรียญ หรือฟื้นตัวได้เกือบ 3.5% ใกล้สูงสุดประวัติการณ์ในปี 2017 และปีนี้ Bitcoin ปรับขึ้นได้กว่า 166% หนุนความเชื่อมั่น "ขาขึ้น" จากบริษัท Fintech ต่างๆ อาทิ PayPal และ Square ที่เข้าสู่ตลาด Cryptocurrencies

ผู้ก่อตั้ง TradingAnalysis.com กล่าวว่า ยากที่จะบอกปัจจัยของ Bitcoin ในเวลานี้เนื่องจากมีภาวะอุปทานค่อนข้างมาก ดังนั้น จึงจะพิจารณาการเคลื่อนไหวจากทิศทาง Elliott Wave และจะเห็นได้ถึงภาวการณ์แกว่งตัวจาก "ความกลัวและความโลภ" ในแพทเทิร์นกราฟอย่างมาก 


จึงสะท้อนว่า 5 Wave ที่จะเกิดขึ้นในเวลานี้เกิดขึ้นแล้ว 3 Wave และเป็นสัญญาณขาขึ้น โดย Wave แรกปรับขึ้นได้ประมาณ 658% จึงสะท้อนว่ามีโอกาสที่ Bitcoin จะปรับขึ้นได้อีก 61% หรือประมาณ 34,000 จุด ทำให้ปรับขึ้นได้สู่ 74,000 จุดนั่นเอง


· อดีตผู้แทนการค้าประจำทำเนียบขาว เผย "ภาษีทรัมป์" อาจ "เอื้อประโยชน์" ต่อทีมบริหารไบเดนในการต่อรองจี

นายเคลท วิลเลียมส์ อดีตผู้แทนเจรจาการค้าระดับสูงประจำทำเนียบขาวของสหรัฐฯ กล่าวว่า นโยบายการขึ้นภาษีการค้าของนายทรัมป์ อาจสร้าง *"ประโยชน์"* ให้แก่ทีมบริหารของนายไบเดนในการใช้ต่อรองความต้องการในเวทีสากลได้

นายทรัมป์มีการประกาศเก็บภาษีประเทศคู่ค้าหลักทั้งหมด ได้แก่

- จีน

- แคนาดา

- สหภาพยุโรป

จากข้อกล่าวหาที่ "ไม่ยุติธรรมทางการค้ากับบริษัทของชาวอเมริกา" และได้สร้าง "ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-ประเทศอื่นๆ" หรือที่กระตุ้น "Trade War" กับ จีน และกดดัน ทิศทางเศรษฐกิจโลก

ผู้เชี่ยวชาญทางการค้าหลายราย ระบุว่า นายไบเดนมีแนวโน้มที่จะใช้วิธี "ร่วมมือกับชาติพันธมิตรในการลดภาษีการค้าระหว่างกัน"

แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายก็มองว่า "นายไบเดนไม่มีแนวโน้มจะลดภาษีที่นายทรัมป์ได้ก่อไว้"

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบการขึ้นภาษีที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้ก็ดูจะเอื้อประโยชน์ให้แก่ทีมบริหารชุดใหม่ ที่เป็นคำถามสำคัญว่าจะจัดการกับระบบการค้ากับนานาประเทศอย่างไร จึงหวังว่านายไบเดนน่าจะนำข้อนี้มาใช้เป็นประโยชน์ในการเจรจา แต่การร่วมมือกันอย่างเหมาะสมกับประเทศพันธมิตรคู่ค้าก็เป็นเรื่องที่สำคัญ และเราหวังว่าพวกเขาจะจัดความสำคัญได้อย่างเหมาะสมมากกว่าทีมบริหารของนายทรัมป์


· ไบเดนเลือกหัวหน้านโยบายต่างประเทศ ผลักดันการร่วมมือกับชาติพันธมิตรในการดำเนินนโยบายกับจีน

นายไบเดน ประกาศเลือก นายแอนโธนี บลินเคน มาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ

เจ้าหน้าที่อาวุโสจาก องค์กร Asia Society มองว่า สิ่งที่นายบลินเคนทำมาโดยตลอดหากได้รับตำแหน่งคือการสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างสหรัฐฯและประเทศพันธมิตร จึงเป็นสิ่งที่ทำให้นายไบเดนตัดสินใจเลือกเขามาดำรงตำแหน่ง ตามที่นายไบเดนเคยได้ให้คำมั่นว่าจะฟื้นฟูสัมพันธ์กับประเทศพันธมิตของสหรัฐฯ


· รัฐลุยเซียนาของสหรัฐฯสั่งคุมเข้มมาตรการยับยั้งไวรัสโคโรนาก่อนวัน Thanksgiving

นายจอห์น เบล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้ว่าการรัฐลุยเซียนา ประกาศว่า รัฐลุยเซียนาของสหรัฐฯจะคุมเข้มมาตรการควบคุมไวรัสโคโรนา ก่อนถึงวันหยุดเนื่องในวัน Thanksgiving, (ขอบคุณพระเจ้า)

โดยจะเริ่มกลับมาดำเนินมาตรการจำกัดระยะที่ 2 อีกครั้งในวันพุธนี้ เพื่อควบคุมยอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยมาตรการเฟส 2 นี้จะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 28 วัน

สำหรับข้อจำกัดต่างๆ ในเฟส 2 นั้น ร้านอาหาร และร้านค้าปลีกที่ไม่จำเป็น จะถูกจำกัดการให้บริการเพียง 50% รวมทั้งจำกัดการรวมตัวของประชาชน


· สายการบินทั่วโลกขาดทุนรวม 1.57 แสนล้านเหรียญในช่วงปีนี้และปีหน้า

สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ได้ปรับลดคาดการณ์แนวโน้มอุตสาหกรรมการบิน หลังเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาครั้งใหม่ โดยคาดว่าสายการบินทั่วโลกอาจขาดทุนรวม 1.57 แสนล้านเหรียญในปีนี้และปีหน้า

โดยคาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมการบินจะขาดทุน 1.185 แสนล้านเหรียญในปีนี้ และจะขาดทุนอีก 3.87 หมื่นล้านเหรียญในปีหน้า


· สมาชิกบีโออีคาด Brexit จะกระทบเศรษฐกิจและส่งผลระยะยาวกว่า Covid-19 โดยมองว่าผลจาก Covid-19 จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวแต่ Brexit อาจเกิดขึ้นนานกว่านั้น


· อังกฤษลดเวลากักตัวนักเดินทางเหลือ 5 วัน หากผลการทดสอบติดไวรัสโคโรนา


รัฐบาลอังกฤษประกาศลดจำนวนวันในการกักตัวผู้ที่เดินทางมายังประเทศอังกฤษลงเหลือเพียง 5 วัน จากเดิม 14 วัน โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนธ.ค.เป็นต้นไป แต่มีข้อแม้ว่า ผู้ที่เดินทางมายังอังกฤษนั้นจะต้องมีผลตรวจเชื้อไวรัสโคโรนาที่เป็นลบหลังการกักตัวแล้ว 5 วัน

ซึ่งทางรัฐบาลอังกฤษประกาศว่า นโยบายใหม่ในการกักตัวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.เป็นต้นไป โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้กฎที่ใช้ควบคุมการกักกันในอังกฤษสอดคล้องกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรปรวมถึงเยอรมนี


· ผู้นำฮ่องกงให้คำมั่นกระชับสัมพันธ์จีนมากขึ้น

นางแคร์รี ลัม ผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ให้คำมั่นว่า ฮ่องกงจะเสริมสร้างความสัมพันธ์กับจีนให้แข็งแกร่งมากขึ้น โดยด้ใช้โอกาสในการแถลงนโยบายประจำปีในวันนี้ กล่าวปกป้องมาตรการคุมเข้มที่จีนบังคับใช้กับฮ่องกง พร้อมกับประกาศแนวทางใหม่ๆในการกระตุ้นการเชื่อมต่อทางเศรษฐกิจระหว่างฮ่องกงกับจี

พร้อมทั้งกล่าวว่า เป้าหมายของรัฐบาลฮ่องกงคือการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน หลังจากที่ฮ่องกงเผชิญกับปีแห่งความวุ่นวายทางการเมือง เศรษฐกิจหดตัว ความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งที่ถดถอยลง และการแพร่ระบาดรอบ 2 ของไวรัสโคโรนา


· ยอดติดเชื้อเพิ่ม ส่งผลให้ ผู้ว่าการกรุงโตเกียวประกาศปิดบาร์, ร้านอาหารเร็วขึ้น


· นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวกับ CNBC ว่า อินเดียมีแนวโน้มจะเจรจาเข้าร่วมข้อตกลงการค้าเสรีในเร็วๆนี้ แต่ไม่ใช่การร่วมกับข้อตกลงขนาดใหญ่อย่าง RCEP


· ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นจากคืบหน้าวัคซีนแม้จะมีการเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมัน


น้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่สี่ต่อเนื่องโดยที่ตลาดไม่ได้สนใจรายงานสต็กอน้ำมันดิบสหรัฐฯที่ปรับขึ้นเกินคาด โดยได้รับความหวังว่าวัคซีน COVID-19 จะช่วยเพิ่มความต้องการเชื้อเพลิงได้

น้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 38 เซนต์ หรือ 0.8% ที่ระดับ 48.24 เหรียญ/บาร์เรล เพิ่มขึ้นราว 4% จากเมื่อวาน

น้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 27 เซนต์ หรือ 0.6% ที่ระดับ 45.18 เหรียญ/บาร์เบล หลังจากเพิ่มขึ้นมากกว่า 4% จากเมื่อวาน

โดยที่น้ำมันดิบทั้ง 2 ชนิด อยู่ที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมและเพิ่มขึ้นประมาณ 9% ในช่วงสี่วันที่ผ่านมา

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com