• Research Morning News | สรุปข่าวทองคำ-ตลาดโลก (ปิดคืนวันศุกร์ 6/11/2020)

    9 พฤศจิกายน 2563 | Gold News



U.S. Presidential Election 2020 | UPDATES

สรุปสถานการณ์เลือกตั้ง: http://www.mtsgold.co.th/th/research/detail.php?ID=21810&SECTION_ID=23


·         ทองคำ:

ปิดรายสัปดาห์ดีที่สุดตั้งแต่ ก.ค. กว่า 3.6% - ปีนี้ปรับขึ้นแล้ว 28%

ราคาทองคำปิดบวกในคืนวันศุกร์ โดยราคาทองคำตลาดโลกปิดแถว 1,950 เหรียญ


สัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิด +0.24% ที่ 1,951.5 เหรียญ

ซิลเวอร์ปิด +2.04% ที่ระดับ 25.70 เหรียญ

 

ปัจจัยคืนวันศุกร์


- SPDR ซื้อทอง 7.9 ตัน เพิ่มการถือครองที่ระดับ 1,260.30 ตัน

ดอลลาร์อ่อนค่า

ตลาดเชื่อมากขึ้นว่า ไบเดน” จะชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนุนการเกิดมาตรการ Covid-19 ขนานใหญ่

 

Ø  นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Kitco คาด การอ่อนค่าของดอลลาร์ช่วยหนุนราคาทองคำทำสูงสุดรอบ 6 สัปดาห์ ประกอบกับความต้องการทองคำในฐานะ Safe-Haven จากความไม่แน่นอนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และยอดติดเชื้อ Covid-19 พุ่ง

 

ขณะที่ชัยชนะของนายไบเดนจะนำไปสู่การเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม ที่อาจก่อให้เกิดเงินเฟ้อมากขึ้นและกดดันดอลลาร์ในทิศทางอ่อนค่าได้

 

Ø  นักวิเคราะห์จาก ED&F Man Capital กล่าวว่า แม้จะมีความไม่แน่นอนของการเลือกตั้ง แต่ท้ายที่สุดก็จะต้องมีการเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ นี่จึงเป็นเหตุผลที่หนุนให้ทองคำปรับตัวสูงขึ้น จึงคาดอาจเห็นทองแตะ 2,000 เหรียญได้ในช่วงสิ้นเดือน หากไม่มีปัจจัยใหม่เกิดเพิ่มก่อนหน้า

 

Ø  Credit Suisse คาด “Wedge” แพทเทิร์นทองชี้โอกาสแตะ 2,300 เหรียญ

นักวิเคราะห์จาก Credit Suisse ยังคาดระยะยาวทองมีเป้าหมายที่ 2,300 เหรียญ จากการขยายตัวจากภาวะสะสมพลังจากแถว 2,075 เหรียญ ที่เป็นจุดสูงสุดเดิมเมื่อเดือนส.ค. และคาดว่าทิศทางทองเวลานี้เคลื่อนไหวเป็นการชั่วคราวและน่าจะชะลอการปรับตัวขึ้นในเวลานี้

ขณะที่ราคาทองคำเกิด Price Action ที่เริ่มจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นเพิ่มอีกด้วย จากการเคลื่อนไหวแบบ “Wedge”Pattern ที่ยังดำเนินต่อไป โดยมีแนวรับสำคัญ ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ย Fibonnaci Retracement 38.2% บริเวณ 1,837 เหรียญ

หากทองคำยืน 1,993 เหรียญ จะสะท้อนว่าแพทเทิร์น “Wedge” จบสมบูรณ์ ดังนั้น ทองคำมีโอกาสขึ้นต่อกลับมาที่ 2,016 เหรียญ และ 2,075 เหรียญ และภาพใหญ่มีโอกาสไปที่ 2,300 เหรียญ

 

·         ดอลลาร์:

อ่อนค่ามากสุดรอบ 2 เดือน - นักลงทุนคาดมีโอกาสอ่อนค่าได้อี

ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าแตะ 92.274 จุด ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่ามากสุดตั้งแต่ 2 ก.ย. ขณะที่สัปดาห์นี้ดอลลาร์อ่อนค่า 1.6% (ปรับลงรายสัปดาห์ที่มากที่สุดในรอบเกือบ 4 เดือน)

ปัจจัย:

การนับผลคะแนนล่าช้า

- “ไบเดน” ยังนำ ทรัมป์

แรงขายทำกำไร คาดกดดันดอลลาร์ต่อเนื่อง

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวสหรัฐฯปรับตัวลงจากคาการณ์ที่ จะเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลง

การฟื้นตัวในตลาดหุ้นสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ

 

เงินเยน:

เงินเยนปิดแข็งค่ามากสุดรอบ 8 เดือน แตะ 103.23 เยน/ดอลลาร์


นายโยชิฮิเดะ ซูงะ นายกฯญี่ปุ่น ให้คำมั่นจะดำเนินการอย่างใกล้ชิดกับต่างประเทศ เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านค่าเงิน เนื่องจากเงินเยนอาจเป็นภัยต่อการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่น

 

เงินปอนด์:

อ่อนค่าลงเล็กน้อย 0.2% แถว 1.3128 ดออลลาร์/ปอนด์

 

เงินยูโร:

ทรงตัวในทิศทางแข็งค่าแนว 1.1874 ดอลลาร์/ปอนด์

 

ปัจจัยที่กระทบ:

ดอลลาร์อ่อนค่า

อียูเข้าใกล้ข้อตกลงงบประมาณ

 

·         ข้อมูลแรงงานสหรัฐฯแกร่งเกินคาด


ข้อมูลจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯประจำเดือนต.ค. ดีขึ้นเกินคาดแตะ 638,000 ตำแหน่ง

อัตราว่างงานต.ค. ดีขึ้นเช่นกัน โดยลดลงแตะ 6.9% จาก 7.9%

 

Ø  นายมิทช์ แมคคอนเนล ผู้นำเสียงข้างมากวุฒิสภาสหรัฐฯ กล่าวในคืนวันศุกร์ว่า อัตราว่างงานที่ลดลงกว่า 1% สะท้อนว่า สภาคองเกรสควรกระตุ้นเศรษฐกิจในวงเงินที่ปรับลง

Ø  หัวหน้าฝ่ายการตลาดโลกของ Citizens ระบุว่า ข้อมูลแรงงานล่าสุดสะท้อนถึงการฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลัง Shutdown จาก Covid-19 โดยจะเห็นได้ชัดจากอัตราคนว่างงานที่ลดลงต่ำกว่า 7%

 

แต่ถึงแม้ข้อมูลจะออกมาแข็งแกร่งเพียงใด แต่ยอดติดเชื้อใหม่ในสหรัฐฯที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจก่อให้เกิดการกลับมาใช้มาตรการที่เข้มงวด และอาจเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางเศรษฐกิจยุคดิจิทัลมากขึ้น รวมทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้นตามมาด้วย

 

·         น้ำมันดิบ:

ปรับลงกว่า 4% - เคลื่อนไหวต่ำกว่า 40 เหรียญ เหตุติดเชื้อ Covid-19 ยังเพิ่มขึ้นอย่างมาก

น้ำมันดิบ WTI ปิด -1.65 เหรียญ หรือ -4.3% ที่ 37.14 เหรียญ/บาร์เรล แต่ปิดสัปดาห์ที่แล้วในแดนบวก +4.5%

น้ำมันดิบ Brent ปิด -1.52 เหรียญ หรือ -3.7% ที่ 39.41 เหรียญ/บาร์เรล แต่ปิดสัปดาห์ที่แล้ว +6%

 

·         หุ้นสหรัฐฯ:

ปิดสัปดาห์ดีสุดนับตั้งแต่เม.ย. ท่ามกลางตลาดรอความชัดเจนผลเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ยังไม่ประกาศทางการ

 


ดัชนี S&P500 ปิดทรงตัว โดยลดลงเพียง 1 จุด ปิดที่ 3,509.44 จุด

ดัชนี Nasdaq ปิด +0.1% ที่ 11,895.23 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 66.78 จุด หรือ -0.2% ที่ 28,323.40 จุด

 

ภาพรวมหุ้นกลุ่มพลังงาน -2.1% และการเงิน -0.8% ถือเป็นกลุ่มที่ย่ำแย่มากที่สุดในกลุ่มดัชนี S&P500



แม้ความไม่แน่นอนจะมีสูงแต่ภาพรายสัปดาห์ของ S&P500 ปิด +7.3% และ Nasdaq ปิด +9% เรียกได้ว่าทั้ง 2 ดัชนีปิดสัปดาห์ดีสุดตั้งแต่เดือนเม.ย.

ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ปิดรายสัปดาห์กว่า +6.9%

อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 ยังปิดสัปดาห์ของช่วงเลือกตั้งที่มากที่สุดตั้งแต่ปี 1932

 

ชัยชนะของรีพับลิกันในสภาสูง คือ ปัจจัยสำคัญ” ที่จะกดดันโอกาสของพรรคเดโมแครตจาก

ความเป็นไปได้ในการขึ้นภาษี

การปรับข้อกำหนดต่างๆ

การกระตุ้นเศรษฐกิจ

จึงทำให้นักกลยุทธ์มองโอกาส ตลาดหุ้นฟื้นตัว

แน่นอนว่าการครองเสียงข้างมากของแต่ละพรรคในสภาล่างและสภาสูง จะนำมาซึ่งความยากลำบากในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่ด้วยวงเงินจำนวนมากได้

 

·         ส่งออกจีนเดือนต.ค. ปรับขึ้น 11.4% เมื่อเทียบจากปี ทำสูงสุดในรอบ 19 เดือน

ยอดส่งออกจีนขยายตัวได้เร็วที่สุดในรอบ 19 เดือนในต.ค. ที่ 11.4% จาก 9.9% ในเดือนก.ย. ขณะที่ยอดนำเข้าที่เติบโตแข็งแกร่ง แตะ 4.7% จากเดือนก.ย. -13.2% โดยโตได้จากที่จีนสำเร็จในการควบคุมการระบาดที่ส่งผลกระทบตั้งแต่ช่วงต้นปี

การเพิ่มขึ้นของยอดส่งออกหนุนให้ยอดเกินดุลการค้าเดือนต.ค. เพิ่มขึ้นแตะ 5.844 หมื่นล้านเหรียญ ขณะที่ยอดเกินดุลกับสหรัฐฯขยายตัวขึ้นจาก 3.075 หมื่นล้านเหรียญ สู่ระดับ 3.137 ในเดือนต.ค.ทุน ส่วนปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ รองลงมาคือ การถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และการท่องเที่ยวในประเทศ รวมถึงความกังวลต่อการระบาดระลอกสองของโควิด-19


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com