· ดอลลาร์อ่อนค่า, เยนแข็ง จับตาถ้อยแถลงเฟด
ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ในขณะที่ค่าเงินเยนและหยวนแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในวันนี้ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่จับตาถ้อยแถลงของบรรดาสมาชิกเฟดในสัปดาห์นี้ และการตัดสินใจว่าจะเพิ่มพันธบัตรรัฐบาลจีนเข้าสู่หนึ่งในดัชนีตลาดโลก
สำหรับวันนี้การเคลื่อนไหวและปริมาณการซื้อขายค่อนข้างเป็นไปอย่างเบาบางจากวันหยุดของญี่ปุ่น โดยดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าอ่อนค่าลง 0.2% ที่ 92.779 จุด
ค่าเงินเยนและหยวนปรับแข็งค่าขึ้นประมาณ 0.3% ท่ามกลางเยนที่ไปทำแข็งค่าขึ้นมากที่สุดรอบ 7 สัปดาห์ที่ 104.27 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่หยวนเคลื่อนไหวใกล้แข็งค่ามากสุดรอบ 16 เดือนที่ทำไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยวันนี้ทรงตัวที่ 6.7570 หยวน/ดอลลาร์
การเข้าซื้อพันธบัตรจีนของนักลงทุนต่างชาติดูจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนหยวน และทำให้ภาพรวมหยวนปรับแข็งค่าได้เกือบ 6.5% ตลอดช่วง 4 เดือน
กลุ่มนักลงทุนกำลังคาดหวังจะเห็น FTSE Russell ทำการเพิ่มจีนเข้าสู่ดัชนีพันธบัตรรัฐบาลโลกภายในวันพฤหัสบดีนี้ โดยมีแนวโน้มว่าการดำเนินการดังกล่าวะจะช่วยกระตุ้นให้เกิดเม็ดเงินเพิ่มขึ้น รวมทั้งหนุนค่าเงินหยวนด้วย
ค่าเงินยูโรทรงตัวบริเวณ 1.1867 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ปอนด์ทรงตัวที่ระดับ 1.2958 ดอลลาร์/ปอนด์
ค่าเงินเยนมีแนวโน้มจะ Break เพิ่ม จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลก และการที่ธนาคารกลางทั่วโลกเลือกคงดอกเบี้ยในระดับต่ำใกล้ศูนย์ โดยเงินเยนปรับแข็งค่าขึ้นเกือบ 2% และเป็นการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องตลอด 5 สัปดาห์
นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs กล่าวว่า ค่าเงินเยนมีภาวะ Undervalued เชิงลึก ท่ามกลางพอร์ตการลงทุนในภาคเอกชนที่มีเม็ดเงินไหลออกอย่างช้าๆ ประกอบกับการที่บี โอเจดูเหมือนจะมีความต้องการเพียงเล็กน้อยที่จะทำการปรับลดดอกเบี้ยเชิงลบมากกว่านี้ และทั้งหมดนี้ มีความเสี่ยงที่จะทำให้เยนอ่อนค่า และมีระดับเป้าหมายที่ 105 เยน/ดอลาร์
บรรดานักวิเคราะห์มองว่า ในระยะสั้นๆ การที่เฟดกล่าวถึงการคงดอกเบี้ยระดับต่ำเป็นเวลานานจะกดดันดอลลาร์ให้อ่อนค่า ดังนั้น จึงต้องจับตาถ้อยแถลงจากสมาชิกเฟดให้ดีในช่วงสัปดาห์นี้ ว่าจะมีการกล่าวถึงแนวทางการปรับเป้าหมายเงินเฟ้อครั้งใหม่เพิ่มเติมหรือไม่
สัปดาห์นี้ต้องจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด ก่อนที่จะกล่าวกับคณะกรรมาธิการกำกับดูแลการเงินและการธนาคารของสภาคองเกรสในช่วงปลายสัปดาห์ (22 - 24 ก.ย.)
นอกจากนี้ ยังมีถ้อยแถลงของบรรดาสมาชิกเฟด ได้แก่
- นางลาเอล เบรนาร์ด ผู้ว่าการเฟด
- นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก
- นายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้า
- นายเจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์
- นางแมรี่ ดาลีย์ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก
- นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก
นักวิเคราะห์จาก OCBC Bank กล่าวว่า ท่าทีผ่อนคลายทางการเงินของเฟดจะยังเป็นปัจจัยลบต่อค่าเงินดอลลาร์ ขณะที่ถ้อยแถลงของประธานเฟดในคืนวันพรุ่งนี้ อาจมีท่าที่ระมัดระวัง แต่ในเวลานี้ เฟดก็ดูเหมือนจะดำเนินตามแผนที่วางไว้
· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯเคลื่อนไหวผสมผสานกัน ท่ามกลางมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและจับตาถ้อยแถลงของบรรดาสมาชิกเฟด
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีปรับตัวลดลงมาที่บริเวณ 0.86871% ขณะที่อัตราผลตอบแทนอายุ 30 ปี ปรับลงมาที่ 1.4551%
ทั้งนี้ เหล่านักลงทุนให้ความสนใจไปยังถ้อยแถลงของบรรกาสมาชิกเฟดในช่วงสัปดาห์นี้ ที่ส่งสัญญาณเกี่ยวกับการแนวโน้มฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
· ไบเดนมีคะแนนำทรัมป์ 8 แต้ม ในโพลล์เลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ
หลังจากที่เกิดภาวะความไม่แน่นอน การถกเถียงและเหตุประท้วง รวมทั้งการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นจากไวรัสโคโรนา ดูจะทำให้คะแนนนิยมในการช่วงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯปี 2020 ของนายไบเดน มีคะแนนนิยมนำนายทรัมป์
ผลสำรวจจาก NBC News/WSJ Poll ชี้ว่า นายไบเดน มีคะแนนนำทรัมป์ ทิ้งห่างประมาณ 8 แต้มที่ 51% ต่อ 43% จากเดิมที่ 50% ต่อ 41%
โพลล์สำรวจล่าสุดระหว่าง 13 - 16 ก.ย. เกิดขึ้นท่ามกลางความผันผวนของข่าวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการหารือเรื่องงบประมาณของพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน, ข่าวตำรวจยิงนายจาค็อบ เบล็ค ที่รัฐมินคอนซิน, การเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาที่เพิ่มขึ้น และรายงานใหม่ของทาง Atlantic ที่กล่าวหาว่าสมาชิกที่รับราชการทางทหารย่ำแย่ลงจากฝีมือของนายทรัมป์ และการที่นาย Bob Woodward ที่เขียนหนังสือมีรายละเอียดเกี่ยวกับผู้นำสหรัฐฯคนปัจจุบันนั่นเอง
ทางด้านชาวผิวสี เหมือนจะเทคะแนนเสียงสนับสนุนให้แก่นายไบเดนกว่า 90% และนายทรัมป์เพียง 5%
กลุ่มคนอายุ 18-34 ปี เทคะแนนให้นายไบเดนกว่า 60% ต่อ 31%
ผู้หญิงส่วนใหญ่ ให้นายไบเดนมากกว่าทรัมป์ 57% ต่อ 37%
กลุ่มนักศึกษา ให้นายไบเดนมากกว่าที่ 54% ต่อ 41%
ภาคเอกชนดูจะให้การสนับสนุนไบเดนมากกว่าที่ 45% ต่อ 39%
กลุ่มผู้อาวุโส ให้นายไบเดน 50% และทรัมป์ 46%
อย่างไรก็ดี ชาวผิวขาวเกือบทั้งหมดกว่า 52% เลือกนายทรัมป์ และ 43% เทใจให้นายไบเดน
ผู้ชายส่วนใหญ่กว่า 50% เลือกนายทรัมป์ และ 45% เลือกไบเดน
ขณะที่กลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่ไม่มีใบปริญญา ก็เทให้นายทรัมป์นำไป 59% ต่อ 36%
· Bill Gates เผยเป็นเรื่องเกินกว่าเหตุหากชาวสหรัฐฯจะไม่สามารถรับผลทดสอบหาเชื้อไวรัสได้ภายใน 24%
หลังเขากล่าวกับ Fox News Sundays ว่ากระบวนการทดสอบหาเชื้อไวรัสโคโรนามีระยะเวลารอผลนานกว่า 6 เดือน และในทุกวันนี้ก็จะเห็นว่า ประชาชนก็ยังไม่สามารถทราบผลการตรวจหาเชื้อได้ภายใน 24 ชั่วโมง
· นักวิเคราะห์คาดหยวนมีโอกาสแข็งค่าต่อเมื่อเทียบดอลลาร์
ค่าเงินหยวนปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัว ประกอบกับดอลลาร์อ่อนค่า
ค่าเงินหยวนปรับแข็งค่ากว่า 1% นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา โดยหยวนกลับมาแนว 6.83 หยวน/ดอลลาร์ และมีการแข็งค่ามากสุดกว่า 6.74 หยวน/ดอลลาร์ในวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นระดับแข็งค่ามากสุดตั้งแต่พ.ค. ปี 2019
สำหรับภาพรวมค่าเงินหยวนแข็งค่ามาได้แล้วกว่า 5% เมื่อเที่ยบดอลลาร์ นับตั้งแต่พ.ค.
นักวิเคราะห์จาก JPMorgan กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์เข้าสู่ภาวะอ่อนค่า ในขณะที่หยวนมีทิศทางแข็งค่าขึ้น แต่ก็อาจจะไม่แข็งค่าไปมากกว่านี้ ในระยะสั้นๆ แต่ภาพรวมเงินหยวนมีโอกาสแข็งค่าต่อ
· วิเคราะห์เงินหยวน: เผชิญภาวะขายเกิน (Oversold) ตลาดตอบรับเล็กน้อยหลังทราบผล PBoC
ธนาคารกลางจีน (PBoC) ประกาศตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อเงินหยวนมากนัก
ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจจีนจะเห็นได้ถึงการฟื้นตัว โดยเฉพาะข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (CPI) ของทาง Caixin ที่เป็นการสำรวจกลุ่มการผลิตเอกชน ที่เผยข้อมูลเดือนส.ค. ที่ขึ้นทำสูงสุดรอบ 9 ปีบริเวณ 53.1 จุด จากเดิม 52.8 จุดในเดือนก.ค.
ภาพรวมเงินหยวนไม่ได้ตอบรับอะไรกับการตัดสินใจของธนาคารกลาง และมีลักษณะการซื้อขายแบบ Sideways บริเวณ 6.7636 หยวน/ดอลลาร์ ภาพรวมหยวนแข็งค่าลงมาแล้วกว่า 5% จากสูงสุดที่ทำไว้เมื่อเดือนพ.ค.บริเวณ 7.1766 หยวน/ดอลลาร์
เส้นค่าเฉลี่ย RSI ราย 14 วัน เคลื่อนไหวต่ำกว่า 30 หรืออยู่ในเขต Oversold ต่อเนื่องมา 4 สัปดาห์ ในกรณีนี้หากมีการดีดกลับอย่างแข็งแกร่งก็จะช่วยหนุนความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น และค่าเงินดอลลาร์ในฐานะSafe-Haven ได้
· จีนคงดอกเบี้ยเงินกู้ 3.85% ตามคาด
ธนาคารกลางจีน (PBoC) มีการคงดอกเบี้ยเงินกู้อายุ 1 ปีคงเดิมที่ 3.85% ตามคาด ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ 5 ปี คงที่ที่ 4.65% ตามคาด
นอกจากนี้ ยังคาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2021 ถูกคาดว่าจะโตได้กว่า 2 เท่า ที่อาจเป็นผลบวกต่อค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์ได้ เนื่องจากเป็นคู่ค้าคนสำคัญของจีน
· Tencent เผย WeChat จะพยามสร้างแรงดึงดูดใจแก่ผู้ใช้ชาวสหรัฐฯ ท่ามกลางทำเนียบขาวและสภาฯที่ต้องการจ่อแบนของทำเนียบขาวและศาล
บริษัทผู้นำด้านสื่ออย่าง Tencent Holdgins Ltd กล่าวว่า WeChat อาจจะไม่สามารถเป็นผู้ชนะใจกลุ่มผู้ใช้งานในสหรัฐฯ ขณะที่ทำเนียบขาวและเศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังสร้างความท้าทายในการแบนข้อมูลจากแอพฯดังกล่าว
หลังทราบแถลงการณ์ของ TenCent ก็ทำให้หุ้นฮ่องกงเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ท่ามกลางตลาดที่กำลังประเมินถึงความเป็นไปได้ของผลกระทบหรือการแบนดังกล่าว นับตั้งแต่ที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้เคยประกาศจาทำการปิดกั้นการดาวน์โหลด WeChat จากเหตุผลเรื่องความมั่นคงของประเทศ
· อังกฤษเสี่ยงเผชิญ Lockdown ครั้งสอง จากการระบาดอย่างรวดเร็วของ Covid-19
นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กำลังพิจารณาที่ใช้มาตรการ Lockdown ครั้งที่ 2 จากการระบาดของไวรัสโคโรนาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ล่าสุดเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 6,000 ราย/วัน
เลขาธิการด้านการคมนาคมอังกฤษ กล่าวกับสำนักข่าว Sky ว่า ค่อนข้างชัดเจนว่าภายในช่วง 2-3 สัปดาห์ อังกฤษมีอัตราการติดเชื้อมากขึ้นเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆในยุโรป และแนวโน้มของอังกฤษดูจะไปผิดทิศทางมากขึ้นสำหรับการระบาด ซึ่งเราต้องมีการพิจารณาข้อมูลต่างๆเพื่อพิจารณาถึงแนวทางในการจัดการกับการระบาดของไวรัส ซึ่งค่อนข้างท้าทายอย่างมากภายในช่วงฤดูหนาวนี้
· น้ำมันดิบดิ่ง จากความเป็นไปได้ที่ลิเบียร์จะเพิ่มกำลังการผลิต ขณะที่พายุหนุนราคา
น้ำมันดิบปรับลง ท่ามกลางยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ทั่วโลก แม้ว่าจะการร่วงลงจะถูกจำกัดจากพายุโซนร้อนที่มุ่งหน้าไปยังอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐฯ
โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 33 เซนต์ หรือคิดเป็น 0.8% ที่ระดับ 42.82 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 38 เซนต์ หรือคิดเป็น 0.9% ที่ระดับ 40.73 เหรียญ/บาร์เรล