• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 14 กันยายน 2563

    14 กันยายน 2563 | Gold News

ทองปิดร่วง แต่ปิดสัปดาห์แดนบวก ตลาดจับตากังวลเศรษฐกิจเพิ่ม

· ราคาทองคำปิดปรับตัวลดลงในคืนวันศุกร์ โดยราคาทองคำตลาดโลกปิด -0.7% ที่ 1,941.07 เหรียญ ขณะที่สัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิด -0.8% ที่ 1,947.9 เหรียญ ท่ามกลางการปราศจากแรงกกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากอีซีบีและรัฐบาลสหรัฐฯ แต่ภาพรวมรายสัปดาห์ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยปิดปรับขึ้นเพราะได้รับอานิสงส์จากความกังวลเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก โดยปิดสัปดาห์ +0.4%

· กองทุนทองคำ SPDR ขายทองคำออก 4.96 ตัน ปัจจุบันลดการถือครองมาอยู่ที่ 1,248 ตัน


· นักวิเคราะห์ฝ่ายการตลาดอาวุโสจาก OANDA กล่าวว่า ตลาดมีความผิดหวังบางส่วนจากอีซีบี เนื่องจากคาดหวังที่จะเห็นอีซีบีมีการกระตุ้นทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม


· นักกลยุทธ์การตลาดอาวุโสจาก RJO Futures มองว่า การที่ประธานอีซีบีมีการส่งสัญญาณว่าอาจจะขยายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับข่าวเรื่องวุฒิสภาสหรัฐฯปฎิเสธร่างช่วยเหลือโควิดรอบใหม่ของทางรีพับลิกัน และสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไปหลังช่วง Covid ทั้งหมดนี้ไม่ได้สะท้อนว่าจะเห็นการเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม จึงส่งสัญญาณเพียงเล็กน้อยต่อตลาด


· อย่างไรก็ดี เขาคาดว่าราคาทองคำอาจแตะ 2,300 เหรียญได้ในช่วงสิ้นปีนี้ ท่ามกลางสภาวะที่ไม่แน่นอนในตลาดหุ้น และทิศทางเศรษฐกิจจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในเดือนพ.ย.นี้


· กลุ่มนักลงทุนกำลังรอคอยประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ระหว่างวันที่ 15-16 ก.ย. โดยนักวิเคราะห์ มองว่าการฟื้นตัวของตลาดแรงงานและการที่คองเกรสยังไม่สามารถตกลงข้อตกลงได้ตั้งแต่การประชุมครั้งล่าสุดของเฟดก็ดูจะยิ่งสร้างแรงกดดันมากขึ้นให้เฟดยังต้องคงท่าทีผ่อนคลายทางการเงินต่อไป


· ราคาซิลเวอร์ปิด -0.8% ที่ 26.70 เหรียญ สำหรับพลาเดียมปิด +0.8% ที่ 2,311.56 เหรียญ


· ด้านราคาแพลทินัมปิดทรงตัวบริเวณ 926.23 เหรียญ แต่ภาพรวมรายสัปดาห์ปิดได้ดีที่สุดตั้งแต่ 7 ส.ค. โดยปิดปรับึขึ้นได้ +3.4%


· สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:

จำนวนยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกพุ่งแตะ 29.17 ล้านราย ขณะที่มีผู้เสียชีวิตสะสมทั่วโลกไม่น้อยกว่า 927,948 ราย

นำโดยประเทศสหรัฐฯที่ยังมีผู้ติดเชื้อมากที่สุดของโลก โดยล่าสุดติดเชื้อเพิ่ม 31,746 ราย รวมสะสมที่ 6.7 ล้านราย และผู้เสียชีวิตสะสมใกล้แตะ 200,000 ราย โดยล่าสุดพบผู้เสียชีวิตเพิ่ม 362 ราย รวมที่ 198,490 รย


· WHO เผยรายงานยอดติดเชื้อรายวันทั่วโลกพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 307,000 ราย

องค์การอนามัยโลก (WHO) เผยรายงานยอดติเชื้อรายวันทั่วโลกรวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์แตะ 307,930 ราย ภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง โดยมี 3 อันดับประเทศที่ติดเชื้อมากสุดของโลกนำโดยอินเดีย, สหรัฐฯ และบราซิล ซึ่งอินเดียนั้นมียอดผู้ติดเชื้อรายวันทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ของโลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วแตะ 97,570 รายในหนึ่งวัน

ขณะที่ล่าสุดอินเดียพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 93,215 ราย รวมสะสม 4.84 ล้านราย ยังคงอยู่เป็นลำดับที่ 2 ของโลก ขณะที่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1,140 ราย ที่ 79,754 ราย


· CEO บริษัท Pfizer เผยวัคซีนไวรัสโคโรนาอาจแจกจ่ายให้ชาวสหรัฐฯได้ก่อนสิ้นปีนี้ หากพบว่ามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยบริษัทจะต้องทำการทดสอบขั้นสุดท้ายเพื่อส่งข้อมูลสำคัญให้กับองค์กรอาหารและยา (FDA) ภายในช่วงสิ้นเดือนต.ค.นี้ และหาก FDA อนุมัติวัคซีนดังกล่าว บริษัทก็จะทำการเตรียมกระบวนการผลิตได้นับแสนโดส


· บริษัท AstraZeneca กลับสู่การทดสอบวัคซีนในอังกฤษอีกครั้ง หลังชะลอตัวจากความกังวลด้านความปลอดภัย หลังได้รับข้อมูลยืนยันจากหน่วยงานการกำกับดูแลด้านสุขภาพและผลิตภัณฑ์ยา (MHRA) ของอังกฤษ ว่าวัคซีนมีความปลอดภัยเพียงพอในการกลับมาทดสอบ

อย่างไรก็ดี บริษัทปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลทางการแพทย์เกี่ยวกับการชะลอวัคซีนในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้วพบผู้ทดสอบมีอาการป่วยไม่ทราบสาเหตุ


· ฝ่ายบริหารบริษัท United Airlines ชี้อุปสงค์การเดินทางไม่มีแนวโน้มฟื้นตัวจนกว่าจะมีการแจกจ่ายวัคซีนเป็นวงกว้าง และเขาหวังที่จะเห็นวัคซีนเกิดขึ้นได้โดยเร็ว แต่เมื่อพิจารณาองค์ประกอบก็คาดว่าสหรัฐฯจะเกิดวัคซีนที่ใช้งานได้ทั่วกันในช่วงสิ้นปีหน้า ขณะที่การปราศจากมาตรการช่วยเหลือจากทางภาครัฐก็ดูจะส่งผลให้เกิดการตกงานเพิ่มขึ้นตามมา


· มาตรการช่วยเหลือด้าน Covid-19 ฉบับใหม่ของสหรัฐฯไม่มีแนวโน้มจะเกิดได้ก่อนต.ค. ท่ามกลางพรรครีพับลิกันและเดโมแครตที่ยังไม่สามารตกลงกันได้ว่าจะต้องใช้เงินจำนวนมากเท่าไรในการช่วยเหลือเศรษฐกิจของประเทศทั้งจากการว่างงานและการระดมทุนเพื่อเทศบาลต่างๆในประเทศ

ขณะที่กรอบเวลาการอนุมัติวัคซีนยังคงมีความไม่แน่นอน ซึ่งทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับผลการทดสอบที่ทางเจ้าหน้าที่ FDA ต้องอนุมัติหากผลนั้นปลอดภัยและมีประสิทธิภาภ ท่ามกลางจำนวนผู้ทดสอบจำนวนมากที่เข้าร่วมกระบวนการทดสอบในขั้นตอนสุดท้าย


· ผู้เชี่ยวชาญ และนายฟาวซี กล่าวว่า ความเป็นไปได้ว่าวัคซีนไวรัสโคโรนาจะได้รับการอนุมัติในช่วงประมาณสิ้นปีนี้ และมีความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเดือนพ.ย. แต่ก็ต้องระมัดระวังว่าอาจต้องใช้เวลานานในการที่สหรัฐฯจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ โดยการกลับสู่ภาวะปกติอาจกินเวลาจนถึงป 2021 หรืออาจนานถึงช่วงสิ้นปีหน้าได้นั่นเอง

ขณะเดียวกัน นายฟาวซีก็คัดค้านถ้อยแถลงของนายทรัมป์ที่มองเกี่ยวกับทิศทางการระบาดของโควิดในสหรัฐฯนั้นถูกทาง จากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายสัปดาห์ลดลงไป 44% โดยประมาณตั้งแต่เดือนก.ค. ซึ่งนายฟาวซีกลับมองว่าข้อมูลสถิติดังกล่าวอาจไม่ถูกต้อง โดยเราจะเห็นได้ว่าอัตราการติดเชื้อต่อวันอยู่ที่ 40,000 ราย และผู้เสียชีวิตก็อยู่ที่ราว 1,000 ราย


· ทรัมป์ลงนามคำสั่งฉุกเฉินครั้งใหม่ในการลดราคายาในสหรัฐฯ


· สำหรับสถานการณ์ Covid-19 ส่งผลให้คนไทยฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นกว่า 22% จากทิศทางเศรษฐกิจและการ Lockdown ที่กระทบกับเงื่อนไขของภาคธุรกิจ โดยมีประชาชนไทยตัดสินใจฆ่าตัวตายแล้ว 2,551 ราย นับตั้งแต่ช่วงม.ค. – สิ้นเดือนก.ค. เมื่อเทียบกับรายงานของช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมาที่มีการฆ่าตัวตายประมาณ 459 ราย และประเด็นนี้กำลังกลายเป็นความกังวลต่อหน่วยงานด้านสุขภาพต่างๆ

โดยกรมสุขภาพจิต จับมือกองปราบปราม เตรียมพัฒนาและจัดตั้งทีมเฉพาะกิจทำงานเชิงรุก ช่วยเหลือคนที่ส่งสัญญานการฆ่าตัวตายบนโลกโซเชียล คาดระบบให้พร้อมใช้งานก่อนสิ้นปีนี้


· จีนประกาศมาตรการเข้มงวดฉบับใหม่ต่อกิจกรรมทางการทูตสหรัฐฯ สำหรับผู้ที่ทำงานในจีนและฮ่องกง เพื่อเป็นการตอบโต้ด้วยมาตรการเดียวกับการที่สหรัฐฯกระทำกับเจ้าหน้าที่ทางการทูตของจีนในสหรัฐฯเมื่อปีที่แล้ว


· เช้านี้มีรายงานจาก CNBC ว่า ทางบริษัท ByteDance ปฏิเสธการเสนอราคาของบริษัท Microsoft สำหรับ TikTok


· เจรจา Brexit ไม่คืบหน้า อียูจ่อฟ้องศาล

แม้ทางอียูจะยื่นคำขาดและจ่อฟ้อง รัฐบาลอังกฤษก็ยังเลือกทีจะผลักดันร่างกฎหมายไวรัสโคโรนาที่อาจส่งผลต่อข้อขัดแย้งการแยกตัวออกจากอียูที่ได้ลงนามกันไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว

ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนในการเจรจาของทั้งสองฝั่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่อียูจ่อฟ้องศาลหลังเจรจาอังกฤษละเมิดข้อตกลง Brexit ล้มเหลว และเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่อังกฤษอาจแยกตัวออกจากอียูในช่วงสิ้นปีนี้ โดยไม่มีการทำข้อตกลง (No-deal)


· ผู้แทนเจรจา Brexit ของอังกฤษไม่เห็นการรับประกันใดๆว่าอียูจะยอมนำเข้าอาหารจากอังกฤษ ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนใดๆว่าอียูจะทำการเพิ่มอังกฤษเข้าสู่บัญชีที่ได้รับการอนุมัติเป็นประเทศที่สามในการนำเข้าอาหาร


· Morgan Stanely เพิ่มแนวโน้มเกิด no-deal Brexit หลังอังกฤษ-อียูเจรจาไม่คืบ

Morgan Stanley มองว่า มีแนวโน้มมากขึ้นกว่า 40% จากคาดการณ์เดิมที่ 25% ที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากอียูแบบ No-Deal ซึ่งจะทำให้การค้าระหว่างอังกฤษและอียูอยู่ภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งจะมีการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกันเฉลี่ย 4% และอาจเพิ่มขึ้นจาก 0% ถึง 60% ได้สำหรับกลุ่มสินค้าที่อยู่ในมาตรการ No-Tariff

นอกจากนี้ ยังคาดว่า เงินปอนด์มีโอกาสจะดิ่งลง 10% สู่ระดับ 1.15 ดอลลาร์/ปอนด์ จากปัจจุบันที่ระดับ 1.28 ดอลลาร์ หากเกิด no-deal Brexit และจะทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารของอังกฤษทรุดตัวลง 20% แต่หากทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลง ก็จะทำให้ปอนด์แข็งค่าสู่ระดับ 1.40 ดอลลาร์ และหุ้นกลุ่มธนาคารอาจปรับขึ้นได้ 20-40%

อย่างไรก็ดี โอกาสการดำเนินการภายใต้ WTO อาจไม่ส่งผลนัก หากอังกฤษสามารถทำข้อตกลงการค้ากับทางสหรัฐฯได้ โดยเฉพาะหากนายทรัมป์ได้รับชัยชนะได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2

ขณะที่จีดีพีอังกฤษดิ่งลงไปเกือบ 20% ในช่วงการระบาดของไวรัสโคโรนา ขณะที่ Brexit แบบใหม่ที่มี WTO มาคอยควบคุมนั้นอาจช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ปานกลางระหว่าง 1.1% และ 2% ภายในช่วงไตรมาสที่ 4/2020


· กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ในอังกฤษและยุโรปเตือน Hard Brexit อาจส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้ง 2 ฝ่ายได้รับผลกระทบมากถึง 1.10 แสนล้านยูโร (1.3 แสนล้านเหรียญ) ภายในเวลา 5 ปีจากนี้ จึงเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีให้ได้เป็นกรณีเร่งด่วน


· “ซูงะ” ฉายแววชนะเลือกตั้งพรรค และเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนถัดไปในการลงคะแนนเสียงวันนี้


· ผลสำรวจ Tankan จาก Reuters ชี้ กลุ่มผู้ผลิตญี่ปุ่นยังคงอยู่ในภาวะไม่สดใสต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 ในเดือนก.ย. แม้ว่าจะมีสัญญาณลบลดลงบ้าง แต่การระบาดของไวรัสโคโรนาก็ยังกระทบต่อเศรษฐกิจและทำให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างช้าๆ


· นักบริหารการเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทสัปดาห์นี้ไว้ที่ระหว่าง 31.00-31.60 บาท/ดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟด (15-16 ก.ย) ,บีโอเจ (16-17 ก.ย.) และบีโออี (17 ก.ย.) ปัจจัยทางการเมืองในประเทศ สถานการณ์โควิด-19 ในไทยและต่างประเทศ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญระหว่างสัปดาห์ ได้แก่ ผลสำรวจภาคการผลิตจากเฟดนิวยอร์ก ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจจากเฟดฟิลาเดลเฟีย ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนก.ย. ยอดค้าปลีก ข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรม ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนส.ค. นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามข้อมูลเศรษฐกิจเดือนส.ค. ของจีน และผลการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคแอลดีพีของญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน


· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยกระดับการกำกับดูแลการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรมให้ครอบคลุมถึงสถาบันการเงินเฉพาะกิจ บริษัทบริหารสินทรัพย์ และนาโนไฟแนนช์ตลอดจนเพิ่มแนวทางการบริหารจัดการระบบงานให้ชัดเจนและเหมาะสมกับลักษณะธุรกิจของผู้ให้บริการทางการเงินมากขึ้น พร้อมทั้งกำชับผู้ให้บริการทางการเงินดูแลลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างเหมาะสม

- ธปท.พัฒนาอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง THOR ขึ้นใหม่ เพื่อทดแทนอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง THBFIX ของไทยที่จะสิ้นสุดลง ณ สิ้นปี 64 ตามการยกเลิก LIBOR โดยอัตราดอกเบี้ย THOR มีจุดเด่นกว่า THBFIX ตรงความสามารถในการสะท้อนภาวะสภาพคล่องของเงินบาทในตลาดการเงินของไทย ผันผวนน้อยและมีทิศทางที่สอดคล้องกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยมากกว่าอัตราดอกเบี้ย THBFIX ซึ่งถูกคำนวณขึ้นจากปัจจัยที่สะท้อนสภาพคล่องเงินดอลลาร์ฯ เป็นหลัก ดังนั้นคาดว่า อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง THOR จะมีอีกหนึ่งบทบาทสำคัญในการช่วยเสริมกลไกการส่งผ่านนโยบายการเงินของไทย และช่วยลดความเสี่ยงที่ต้นทุนการกู้ยืมในรูปเงินบาทจะได้รับผลกระทบจากการพลิกผันของสภาพคล่อง/ต้นทุนการกู้เงินในรูปดอลลาร์ฯ เหมือนเช่นกรณีของอัตราดอกเบี้ย THBFIX ในบางช่วง


อ่านข่าวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่: www.mtsgold.co.th


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com