• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 2 กันยายน 2563

    2 กันยายน 2563 | Gold News
 

ทองลงจากสูงสุดรอบสองสัปดาห์หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯแข็งแกร่ง

· ราคาทองคำปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ทำไว้วานนี้แถว 1,991.91 เหรียญ ที่ถือเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ 19 ส.ค. โดยราคาทองคำตลาดโลกปิดทรงตัวบริเวณ 1,970.55 เหรียญ ขณะที่สัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิดทรงตัวที่ 1,978.9 เหรียญ ท่ามกลางการรีบาวน์ของค่าเงินดอลลาร์ และข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯในส่วนของภาคการผลิตที่ออกมาดีขึ้น จุดประกายความหวังเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

· กองทุนทองคำทำการขายออกในวันที่ 1 ก.ย. จำนวน 0.87 ตัน ปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 1,250.63 จุด


· ดอลลาร์ปิดปรับขึ้นประมาณ 0.2% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ โดยแข็งค่ากลับจากที่ไปทำอ่อนค่ามากที่สุดรอบ 2 ปี


· นักกลยุทธ์การตลาดอาวุโสจาก RJO Futures กล่าวว่า ข้อมูลการผลิตที่ออกมาดีขึ้นเกินคาด เป็นสาเหตุที่ทำให้ทองคำปรับตัวลดลงมา และส่งผลให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น แต่ถึงข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯจะออกมาดีขึ้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแนวโน้มการดำเนินนโยบายของเฟด ดังนั้น ทิศทางทองคำจึงยังเป็นขาขึ้น


· สัปดาห์ที่แล้วประธานเฟดมีการประกาศถึงการจะปรับเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ย ที่อาจยอมให้อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำแม้จะเห็นการปรับขึ้นของเงินเฟ้อในอนาคตก็ตาม


· นักกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์จาก TD Securities กล่าวว่า ทองคำยังมีแรงหนุนจากการที่เฟดจะหนุนให้เงินเฟ้อปรับตัวขึ้น และการอ่อนค่าของดอลลาร์


· ภาพรวมราคาทองคำปีนี้ปรับขึ้นได้แล้วประมาณ 30% จากการถือครองในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและค่าเงิน ควบคู่กับอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ


· ราคาซิลเวอร์ปิด +0.2% ที่ 28.27 เหรียญ หลังจากที่ทำสูงสุดตั้งแต่ 11 ส.ค. ขณะที่ราคาแพลทินัมปิด +1.4% ที่ระดับ 942.09 เหรียญ และราคาพลาเดียมปิด +1.5% ที่ระดับ 2,277.11 เหรียญ


· นักวิเคราะห์คาดเฟดจะคงดอกเบี้ยระดับต่ำใกล้ศูนย์เป็นเวลา 5 ปี หรือนานกว่านั้น

รายงานจาก CNBC ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยของเฟดที่อยู่ใกล้กับระดับศูนย์ไม่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงภายในไม่กี่เดือนนี้ แต่น่าจะใช้เวลาเป็นปี เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อในระดับ หรือแม้แต่ตลาดแรงงานที่ไม่แข็งแรง ดังนั้น บรรดานักเศรษฐศาสตร์จึงคาดว่าเฟดน่าจะใช้เวลาอีกหลายปีก่อนที่จะขึ้นดอกเบี้ยได้อีกครั้ง

Goldman Sachs คาดเฟดจะทำการถอนนโยบายปัจจุบันได้ประมาณช่วงต้นปี 2025 ขึ้นอยู่กับเครื่องมือหลากหลายที่เฟดต้องการจะใช้ว่าจะเห็นผลในระยะเวลานานเท่าใด โดยค่อนข้างแน่ชัดว่าการใช้นโยบายเปลี่ยนแปลงค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อก็อาจเป็นความชัดเจนสำหรับแนวทางการกลับมาใช้นโยบายสู่ภาวะปกติเมื่อเงินเฟ้อมีการปรับตัวสูงขึ้น

ขณะที่สถาบันการเงินชั้นนำอีกหลายแห่งคาดเฟดจะเปลี่ยนแปลงกรอบการดำเนินนโยบายในอีกประมาณ 5 ปี

นักวิเคราะห์จาก Canaccord Genuity Capital Markets คาดว่าเฟดจะใช้นโยบายดอกเบี้ยระดับต่ำเป็นเวลานานภายใต้การใช้ QE ซึ่งคาดจะมีการเข้าซื้อพันธบัตรเพิ่ม ซึ่งจะเห็นได้ว่านับตั้งแต่ที่เกิดการระบาดของไวรัสโคโรนายอดงบดุลของเฟดเพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 3 ล้านล้านเหรียญ ดังนั้น เฟดจึงน่าจะทำการผ่อนคลายทางการเงินเป็นเวลานานมากที่สุดครั้งประวัติศาสตร์ คู่กับการที่วัฎจักรทางเศรษฐกิจที่ดูจะใช้เวลานานเช่นกันในการฟื้นตัว โดยเฟดจะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยได้ต่อเมื่อเงินเฟ้อนั้นมีการปรับขึ้น และมีสัญญาณยืนยันถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และการจ้างงานที่เต็มรูปแบบ และทั้งหมดนี้จะต้องไม่เป็นสาเหตุในการสร้างความกังวลในเรื่องเงินเฟ้อ เราจึงคาดว่าเฟดจะยุติ QE และการใช้ดอกเบี้ยระดับต่ำในอีก 5 ปีจากนี้


· เบรนาร์ด ชี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯจำเป็นต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มอีกภายในเดือนหน้า

นางลาเอล เบรนาร์ด ผู้ว่าการเฟด กล่าวว่าในเดือนหน้าเฟดจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการใหม่มาสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา ท่ามกลางประธานเฟดที่ได้ให้สัญญาถึงการจะหนุนตลาดแรงงานและเงินเฟ้อให้สูงขึ้


· กิจกรรมภาคการผลิตสหรัฐฯแข็งแกร่งที่สุดในรอบเกือบ 2 ปีในเดือนส.ค.

ข้อมูลกิจกรรมภาคการผลิตของสหรัฐฯในเดือนส.ค. ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วทำสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี จากการเพิ่มขึ้นของยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ แม้ว่าภาคแรงงานจะอ่อนแอ โดยสถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) มีการเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตที่ออกมาดีขึ้นเกินคาดที่ 56 จุด จากเดิมที่ 54.2 จุด ซึ่งข้อมูลล่าสุดถือว่าออกมาดีขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่พ.ย. 2018 และเป็นการขยายตัวได้ 3 เดือนต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ISM ยังเผยสัญญาณชี้นำดัชนีคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ในเดือนส.ค. ที่ปรับขึ้นมาที่ 67.6 จุด ซึ่งถือเป็นระดับที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ม.ค. 2004 หรือในรอบ 16 ปีครึ่ง เมื่อเทียบกับระดับ 61.5 จุดในเดือนก.ค. โดย 15 อุตสาหกรรมนสหรัฐฯ เผยรายงานเดียวกันว่าได้รับอานิสงส์จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น


· กระทรวงแรงงานสหรัฐฯคาดจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 6 ล้านตำแหน่งตั้งแต่ปี 2019 – 2029 ท่ามกลางอัตราการเติบโตในภาคแรงงานรายปีที่อ่อนตัวลงมากขึ้นท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากช่วง Great Recession หลังจากที่วิกฤตไวรัสโคโรนาได้ส่งผลให้เกิดภาวะถดถอยที่หนักกว่ายุคดังกล่าวและทำให้มีประชาชนสหรัฐฯตกงานแล้วกว่า 22 ล้านราย และมีเพียง 9.3 ล้านคนที่กลับมาถูกจ้างงานในเดือนก.ค.


· รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะคุยกับโฆษกเดโมแครตเกี่ยวกับการเจรจามาตรการ Covid-19

นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ กล่าวว่า จะทำการโทรศัพท์หานางแนนซี เพโลซี โฆษกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครตเพื่อหารือเกี่ยวกับการเจรจาแก้ไขปัญหามาตรการไวรัสโคโรนาที่ชะงักงันในเวลานี้


· สถานการณ์ไวรัสโคโรนา

  

ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 25.88 ล้านราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมทะลุ 860,000 ราย ในส่วนของสหรัฐฯยังครองอันดับ 1 โดยผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 6.25 ล้านราย ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตสะสมปรับขึ้นมาที่ 188,874 ราย

ทางด้านบราซิลยอดผู้ติดเชื้อสะสมใกล้ทะลุ 4 ล้านราย โดยล่าสุดอยู่ที่ 3.95 ล้านราย ขณะที่อินเดียเพิ่มขึ้น 3.7 ล้านราย และรัสเซียออกมาทะลุ 1 ล้านราย


· ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในเม็กซิโกพุ่ง 600,000 ราย ยอดผู้เสียชีวิต 65,241 ราย

รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณะสุขกล่าวเมื่อวานนี้ว่า ตามรายงานมีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 6,476 ราย ส่งผลให้มียอดติดเชื้อสะสม 606,036 ราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตเพิ่ม 827 ราย ทำให้มียอดเสียชีวิตสะสม 65,241 ราย ราย


· ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก การติดเชื้อในสเปนและยุโรปเพิ่มสูงขึ้น

ยุโรปบันทึกยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วของการติดเชื้อ COVID-19 เมื่อสัปดาห์ล่าสุด

สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่องค์การอนามัยโลก เตือนว่า ไม่มีประเทศไหนจะปิดบังได้ว่าการติดเชื้อสิ้นสุดลงแล้ว

จากผลการรายงานของ WHO ตัวเลขของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาตามรายงานเพิ่มขึ้น 5.6% รวมเป็น 4 ล้าน ราย ในสิ้นสัปดาห์ของ เดือน ส.ค.

โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเปรียบเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 72% เพื่อเปรียบเทียบกับสิ้นเดือนมิ.ย. จากจำนวนยอดผู้ป่วยที่ต่ำสุดในแต่ละสัปดาห์


· ข้อมูลเศรษฐกิจยูโรโซนออกมาแย่ ส่งผลให้เกิดคำถามถึงสิ่งที่อีซีบีจะทำต่อไป

บรรดานักวิเคราะห์ กล่าวว่า อีซีบีจะดำเนินการต่อเพื่อจำกัดการระบาดของไวรัสโคโรนาที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจยูโรโซน หลังจากที่เงินเฟ้อภูมิภาคเป็นลบ โดยข้อมูลเงินเฟ้อขั้นต้นที่ประกาศวานนี้ออกมาที่ -0.2% ในเดือนส.ค. ลดลงจากเดือนก.ค.ที่อยู่ที่ 0.4%

ด้าน Core CPI ออกมาหดตัวลง -0.4% เมื่อเทียบรายปีในเดือนส.ค. จาก 1.2% ในเดือนก.ค. ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลดลงมากสุดนับตั้งแต่ที่มีการเก็บบันทึกข้อมูลในปี 2001

ในเดือนมิ.ย. อีซีบีมีการส่งสัญญาณต่อตลาดในการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะอยู่ระดับต่ำออกไปอีก 2 ปี ภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายในเวลานี้ พร้อมคาดว่าเงินเฟ้อจะค่อยๆปรับตัวขึ้นจาก 0.2% ในปี 2020 สู่ระดับ 0.9% ได้ในปี 2022


· เศรษฐกิจบราซิลกลับสู่ยุคถดถอยในปี 2009 หลังจากที่ Q2 ร่วงลง -9.7% เป็นประวัติการณ์ อันได้รับผลกระทบจากการใช้มาตรการ Lockdown จากวิกฤตไวรัสโคโรนาที่กระทบทุกภาคส่วนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ


· อัตราเงินเฟ้อของเกาหลีใต้เดือนส.ค.แตะสูงสุดในรอบ 5 เดือน เนื่องจากราคาอาหารสดขยับขึ้น

ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อประจำปีของเกาหลีใต้ในเดือนส.ค.พุ่งขึ้นสูงสุดสู่ระดับที่เร็วที่สุดในรอบ 5 เดือนเนื่องจากมรสุมที่ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ราคาอาหารสดเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะยังคงอ่อนตัวลงจากอุปสงค์ในประเทศที่ย่ำแย่ ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนา

ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคของเกาหลีใต้ (CPI) ปรับตัวสูงขึ้น 0.7% จากปีที่แล้วในเดือน ส.ค. โดยเทียบกับการเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.4%


· ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี นายปรีดี ดาวฉาย ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

สำนักข่าว BBC รายงานเมื่อเวลา 18.00 น. วันนี้ (1 ก.ย.) ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง รัฐมนตรีลาออก ระบุว่า "ด้วย นายปรีดี ดาวฉาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ขอลาออกจากตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2563 ความเป็นรัฐมนตรีของนายปรีดี ดาวฉาย จึงสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2563 ตามความในมาตรา 170 (2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" ลงท้ายประกาศโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2563

ก่อนหน้านี้สื่อหลายสำนัก ได้แก่ มติชน ฐานเศรษฐกิจ รายงานตรงกันว่า นายปรีดี ยื่นจดหมายลาออกต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยระบุเหตุผลการลาออกว่าป่วย


· การไปเยือนเมืองเคโนชาของนายทรัมป์ ไม่ใช่เพื่อประนีประนอมปัญหาทางเชื้อชาติ แต่เพื่อเป็นการสนับสนุนตำรวจ

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ท้าทายข้อเสนอแนะที่ให้อยู่ห่างๆและการไปเยือนเมืองเคโนชา ที่รัฐวิสคอน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยการไปของเขาไม่ใช่เพื่อเยียวยาประเด็นปัญหาทางเชื้อชาติ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ผิวขาว ยิงชายผิวสี แต่เป็นการไปเพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฏหมายในเมืองจากเหตุการณ์ความไม่สงบ

เมื่อสหรัฐฯแบ่งขั้วประเด็นความไม่เป็นธรรมทางเชื้อชาติ และการใช้กำลังของตำรวจ นายทรัมป์จึงดึงดูดฐานผู้สนับสนุนผิวขาวด้วย กฎหมายและคำสั่ง ขณะที่ความเห็นล่าสุดของผู้ตอบผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าคะแนนของเขานำคู่แข่งอย่างนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ


· นักบริหารเงิน มองกรอบเคลื่อนไหวของเงินบาทวันนี้ไว้ที่ระหว่าง 31.05-31.30 บาท/ดอลลาร์ โดยตลาดจับตาปัจจัยในประเทศเรื่องการลาออกของรมว.คลัง


· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) และธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ได้ทำสัญญาอนุพันธ์เพื่อแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยลอยตัวอ้างอิง THOR เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Overnight Indexed Swap: OIS) นับเป็นธุรกรรมแรกของประเทศไทยนับตั้งแต่มีการเผย แพร่อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง THOR เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 63

- เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยว่า บีโอไอมุ่งส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมการแพทย์ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้มีมาตรการเร่งรัดการลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์ ที่สิ้นสุดระยะเวลาการยื่นขอรับการส่งเสริมเมื่อเดือนมิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมและอยู่ในเกณฑ์ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามมาตรการนี้ จำนวน 50 โครงการ โดยบีโอไอได้อนุมัติไปแล้ว 42 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนรวม 11,999.5 ล้านบาท

- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือน ส.ค.63 พบว่า ดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 45.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 42.9 ในเดือนก.ค.63 โดยดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 จากทิศทางของความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นของเกือบทุกธุรกิจในภาคการผลิตเป็นสำคัญ นำโดยกลุ่มผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมถึงกลุ่มผลิตยานยนต์ที่ได้อานิสงส์จากการทำโปรโมชั่นและการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในระยะที่ผ่านมา

- ธนาคารออมสิน ขยายเวลามาตรการพักชำระหนี้อัตโนมัติต่อไปอีก 3 เดือน เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ต.ค.-31 ธ.ค.63 พร้อมกับเปิดทางเลือกให้ลูกค้าที่ไม่ประสงค์จะพักชำระหนี้ต่อและต้องการออกจากมาตรการ สามารถเลือกแผนการชำระหนี้ได้ 3 ทางเลือก โดยลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์และเลือกแผนการชำระหนี้ด้วยตัวเองได้ที่แอปพลิเคชัน MyMo ตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย.63 นี้ จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.63

- ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตน กรณีระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า สำหรับผู้ประกันตน มาตรา 33 ให้เหลือฝ่ายละ 2% ของค่าจ้างผู้ประกันตน และสำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ให้ส่งเงินสมทบในอัตราเดือนละ 96 บาท จากที่ต้องจ่ายเดือนละ 432 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่งวดค่าจ้างเดือนก.ย.- พ.ย. 63

- ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 เพิ่มเติม งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นวงเงิน 883 ล้านบาท ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดทำพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ (State Quarantine) ในส่วนของสถานที่เอกชนสำหรับแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นไปตามมาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดที่กำหนดให้คนไทยทุกคนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศจะต้องเข้าพัก ณ พื้นที่ กักกันโรคแห่งรัฐทันทีเป็นเวลา 14 วัน

- ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล)นำรายชื่อ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลที่สนับสนุนจำนวน 206 รายชื่อ ยื่นญัตติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต่อนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เพื่อนำเข้าบรรจุญัตติการพิจารณาในที่ประชุมร่วมของรัฐสภาแล้ว


อ่านข่าวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่: www.mtsgold.co.th

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com