• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 3 สิงหาคม 2563

    3 สิงหาคม 2563 | Gold News
     

ทองคำทำสูงสุดประวัติการณ์ครั้งใหม่ ขณะที่เดือนก.ค. เป็นเดือนที่ดีที่สุดตั้งแต่ปี 2016

· ราคาทองคำปิดปรับตัวขึ้นในคืนวันศุกร์ทำ New All-Time High หลังจากที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงมาและข้อมูลเศรษฐกิจไม่ค่อยสดใสจึงจุดประกายความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างราคาทองคำ และถือได้ว่าทองคำเดือนนี้เป็นเดือนที่ดีที่สุดตั้งแต่ก.พ. ปี 2016 เป็นการปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง 5 เดือนติด ขณะที่ความต้องการทองคำในฐานะ Safe Haven ปีนี้ได้ทำให้ราคาทองคำปีนี้ปรับขึ้นได้แล้วเกือบ 30%


· ทองคำตลาดโลกปิด +0.58% ที่ระดับ 1,970.81 เหรียญ ด้านสัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิด +1% ที่ 1,985.9 เหรียญ หลังจากที่ราคา Break เหนือ 2,000 เหรียญได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการเก็บบันทึกข้อมูล


· ราคาซิลเวอร์ปิด +4.2% ที่ 24.34 เหรียญ และภาพรวมเดือนก.ค. ปิดปรับขึ้นได้ประมาณ 33% ซึ่งเป็นระดับการปิดรายเดือนที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 1982 โดยตลาดได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ภาคการลงทุนและอุตสาหกรรม


· นักวิเคราะห์จาก Standard Chartered กล่าวว่า เศรษฐกิจระดับมหพภาค ยังคงมีทิศทางการเคลื่อนไหวที่เป็นบวกต่อเนื่อง ขณะที่การอ่อนค่าของดอลลาร์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนราคาทองคำ


· กองทุนทองคำ SPDR ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม ปัจจุบันยังถือครองที่ 1,241.95 ตัน ขณะที่ภาพรวมเดือนก.ค. เข้าซื้อสุทธิรวม 63.05 ตัน ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปี-ปัจจุบันมีการเข้าซื้อสุทธิที่ระดับ 348.7 ตัน


· เดือนก.ค. ถือเป็นเดือนที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงมากที่สุดในรอบกว่า 10 ปีขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯดูจะสะท้อนถึงความเสียหายที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ยุค Great Depression ในช่วงไตรมาสที่ 2/2020 ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนา ขณะที่นักลงทุนยังคงเฝ้าจับตาสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศด้วย


· ด้านผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาทั่วโลกล่าสุดทะลุ 18.2 ล้านราย และมียอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกอยู่ที่ 692,694 ราย ซึ่งสหรัฐฯเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด 4.8 ล้านราย และเสียชีวิตมากถึง 158,365 ราย


· นักวิเคราะห์จาก BofA Global Research กล่าวว่า การใช้นโยบายดอกเบี้ยที่ต่ำระดับศูนย์เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น และคาดว่าจะเห็นทองคำปรับขึ้นแตะ 3,000 เหรียญได้ในอีก 18 เดือน

· ราคาแพลทินัมปิด +0.4% ที่ 916.3 เหรียญ และถือเป็นเดือนที่ดีที่สุดตั้งแต่ม.ค. ปี 2017


· ราคาพลาเดียมปิด -0.04% ที่ 2,134.1 เหรียญ แต่เดือนก.ค. ก็ถือเป็นเดือนที่ดีที่สุดที่พลาเดียมปรับขึ้นได้กว่า 8% เป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน


· ทำเนียบขาวชี้ยังไม่มีมุมมองเชิงบวกในระยะสั้นเกี่ยวกับข้อตกลงการช่วยเหลือวิกฤตไวรัสโคโรนารอบใหม่

หัวหน้าเจ้าหน้าที่จากทำเนียบขาว เผยว่า ยังไม่เห็นมุมมองเชิงบวกในการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน เกี่ยวกับข้อตกลงการช่วยเหลือรอบใหม่แก่ชาวอเมริกาที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา และคาดอาจไม่หาทางแก้ไขร่วมกันได้ในระยะเวลาสั้นๆ

สำหรับประเด็นที่ยังคงไม่สามารถตกลงกันได้ระหว่างพรรครีพับลิกันและเดโมแครต คือการสนับสนุนการช่วยเหลือคนว่างงาน ที่เดิมกำหนดไว้ที่ 600 เหรียญ/สัปดาห์ และมีกรหมดอายุลงไปเป็นที่เรียบร้อย โดยที่รีพับลิกันต้องการให้วงเงินช่วยเหลือรอบใหม่อยู่ที่ 200 เหรียญ/สัปดาห์ แต่พรรคเดโมแครตต้องการให้อยู่ที่ระดับเดิม 600 เหรียญ/สัปดาห์

ทั้งนี้ นางแนนซี เปโลซี กล่าวว่า เงิน 600 เหรียญ/สัปดาห์ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนอเมริกาที่ตกงาน แต่ก็แสดงท่าทีว่าพร้อมยอมรับข้อเสนอของพรรครีพับลิกันเช่นกัน ขณะที่ นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยืนยันถึงความสำคัญของเงินช่วยเหลือดังกล่าว แต่ก็ต้องการให้มีการจำกัดอัตราส่วนของเงินที่คนตกงานได้รับนี้ เนื่องจากมองว่า 600 เหรียญ/สัปดาห์เป็นจำนวนเงินที่สูงกว่าเงินเดือนก่อนตกงานของผู้ที่ได้รับสวัสดิการ

· ที่ปรึกษาทรัมป์ ยืนยันเลือกตั้งสหรัฐฯอาจยังคงตามแผนที่ 3 พ.ย. ปีนี้ แม้ว่านายทรัมป์จะส่งสัญญาถึงการอาจเลื่อนเลือกตั้งออกไปก็ตาม ซึ่งนายมาร์ค เมโดวส์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายของทำเนียบขาว ยังคาดว่านอกจากเลือกตั้งจะยังคงกำหนดการเดิมแล้ว นายทรัมป์ยังน่าจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งในครั้งนี้

· ประธานเฟดมินนีแอโพลิส ชี้ สหรัฐฯอาจเผชิญ Lockdown ในช่วง 4-6 สัปดาห์ ขณะที่คองเกรสอาจเพิ่มเงินช่วยเหลือครั้งใหญ่

นายนีล คาร์ชคาริ ประธานเฟดสาขามินนีแอโพลิส กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจได้รับประโยชน์หากเลือกตัดสินใจ Lockdown ประเทศอย่างเข้มงวดตลอดช่วง 4-6 สัปดาห์ และอาจช่วยให้ความพยายามอัดฉีดเงินครั้งใหญ่ของสภาคองเกรสนั้นเป็นไปได้ด้วยดีด้วย

เนื่องจาก เศรษฐกิจไตรมาสที่ 2/2020 ดูจะได้รับความเสียหายหนักสุดตั้งแต่ที่เคยเกิดในยุค Great Depression ที่อาจกระทบต่อการฟื้นตัวอย่างหนัก เว้นแต่ว่าสถานการณ์การระบาดของไวรัสจะสามารถควบคุมได้

โดยหากเราไม่ทำการ Lockdown ก็อาจจะยิ่งเห็นการระบาดของไวรัสลุกลามกระจายทั่วมากกว่านี้ และจะทำให้เกิดการต้อง Lockdowns ในแต่ละเมืองนานถึงปีหน้าหรือกว่า 2 ปีได้ รวมทั้งอาจนำมาซึ่งภาวะล้มละลายที่เพิ่มมากขึ้นในกลุ่มภาคธุรกิจ


· บริษัท Microsoft ยันเจรจาซื้อแอพลิเคชัน TikTok ในสหรัฐฯ คาดบรรลุข้อตกลงภายใน 15 ก.ย.นี้ ด้านนายทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯคาดจะทำการแบน TikTok โดยใช้คำสั่งลงนามฉุกเฉินเพื่อสร้างแรงกดดันให้แก่เจ้าของแอพลิเคชันของจีนที่จะทำการขาย

· Fitch Ratings ปรับลดแนวโน้มความเชื่อมั่นสหรัฐฯสู่ระดับติดลบ

สถาบันจัดอันดับ Fitch Ratings ทำการปรับลดแนวโน้มทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯสู่ระดับ -A จากเดิมที่อยู่ระดับมีสเถียรภาพ AAA อันเนื่องจากยอดขาดดุลเพิ่มขึ้น และการใช้เงินอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ในการต่อสู้กับการระบาดของไวรัสโคโรนา ซึ่งสหรัฐฯนั้นมีระดับหนี้และยอดขาดดุลที่สูงก่อนจะเกิดการระบาดอยู่แล้ว และทิศทางต่อไปของสหรัฐฯจะขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งในเดือนพ.ย. นี้ด้วย

· ฟิลลิปปินส์กลับมาใช้มาตรการ Lockdown หลังพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม


· จีดีพีไตรมาสแรกของญี่ปุ่นคงเดิมที่ -2.2% หลังมีการปรับทบทวนครั้งที่ 2

· นักบริหารการเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทสำหรับสัปดาห นี้ไว้ที่ระหว่าง ที่ 30.90-31.40 บาท/ดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญในประเทศ ได้แก่ ผลการประชุมนโยบายการเงินของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อัตราเงินเฟ้อเดือนก.ค. ของไทย และปัจจัยทางการเมืองในประเทศ

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญระหว่างสัปดาห์ ได้แก่ ดัชนี PMI และ ISM ภาคการผลิต/ภาคบริการ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร และข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP เดือนก.ค. ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน และรายจ่ายด้านการก่อสร้างเดือนมิ.ย.

ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องติดตามได้แก่ สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ จีดีพีไตรมาส 2/63 ของญี่ปุ่น รวมถึงดัชนี PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนก.ค. ของจีน และยูโรโซน

อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยเดือน มิ.ย.63 ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน จากการทยอยผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยกลับมาดำเนินการได้มากขึ้น โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมทองคำ เครื่องชี้การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน และการผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวน้อยลง ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวหดตัวสูงต่อเนื่อง จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศที่ยังคงมีอยู่

- ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/63 จะหดตัวสูงกว่าที่เคยลงไปลึกสุดที่ -12.5% ในไตรมาส 2/41 ซึ่งจะเป็นการติดลบมากที่สุดในประวัติศาสตร์ รับผลกระทบจากมาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ใช้มาตรการเข้มงวดทั้งในและต่างประเทศ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายภาคส่วนต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว

- ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics) เผยยอดเงินฝากบุคคลธรรมดาธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นกว่า 6 แสนล้านบาทในช่วง 5 เดือนแรกของปี 63 เหตุผู้ออมรายย่อยกังวลสถานการณ์โควิด โดยเงินฝากบัญชีออมทรัพย์เพิ่มขึ้นถึง 16% ยอดอยู่ที่5.1 ล้านล้านบาท ขยับสัดส่วนออมทรัพย์สูงขึ้นเป็น 63% ทั้งที่อัตราดอกเบี้ยแค่ 0.25% และในช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับลดลงได้อีก ส่งผลกระทบต่อรายได้ผู้ออมมากขึ้น ทั้งนี้ หากผู้ออมรายย่อยโยกเงินจากบัญชีออมทรัพย์ทั่วไปไปบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยพิเศษ คาดว่าจะทำให้รายได้ของผู้ฝากเงินออมทรัพย์รายย่อยทั้งระบบ จะเพิ่มขึ้นจาก 12.7 พันล้านบาท เป็น 66.2 พันล้านบาทภายในเวลา 1ปี

- ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการอนุมัติการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน โดยการเสนอขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระหว่างวันที่ 31 ส.ค. ถึงวันที่ 16 ก.ย.63 ในราคาเสนอขายหุ้นที่ซื้อคืนไม่น้อยกว่าราคาปิดของหุ้นธนาคาร เฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายล่าสุดหักด้วยจำนวน 15% ของราคาปิดเฉลี่ยดังกล่าว

- นายกรัฐมนตรีไทย ระบุยังไม่ได้นำรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ ตามที่มีกระแสข่าว เนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติ เพราะยังมีเวลาที่จะทำให้แล้วเสร็จตามกำหนดกลางเดือน ส.ค.

- รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) จะไม่มีผลกระทบต่อความต่อเนื่องของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) แต่อย่างใด โดยโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญได้ลงนามกับคู่สัญญาไปเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเดินหน้าต่ออย่างเดียวไม่ต้องมีข้อกังวลใดๆ


อ่านข่าวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่: www.mtsgold.co.th

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com