• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 3 กรกฎาคม 2563

    3 กรกฎาคม 2563 | SET News
   

· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน โดยได้รับแรงหนุนจากข้อมูลภาคการจ้างงานและข้อมูลภาคบริการของจีนที่ออกมาดีกว่าที่คาด อย่างไรก็ดี ยอดผู้ติดเชื้อจากไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯก็ยังคงเป็นปัจจัยกดดันอยู่

ด้านหุ้นจีนซึ่งมีผลประกอบการที่ดีที่สุดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยดัชนี Shanghai composite ปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนเม.ย.ปี 2019

ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 0.66% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับัต้งแต่ปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมา

· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดปรับตัวสูงขึ้น จากข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯที่ออกมาดีกว่าที่คาด ช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะสามารถฟื้นตัวได้ แม้ว่าเหล่านักลงทุนจะยังคงีระมัดระวังการลงทุน หลังญี่ปุ่นรายงานว่ามีผู้ติดเชื้แไวรัสโคโรนาเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม

โดยญี่ปุ่นยืนยันว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่า 100 ราย ซึ่งนับเป็นรายวันที่สูงที่สุดในรอบสองเดือนเป็นเวลาสองวันติดต่อกัน

ขณะที่หัวหน้าคณะรัฐมนตรีรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องรื้อฟื้นสถานการณ์ฉุกเฉินอีกครั้ง แต่เหล่าเทรดเดอร์ กล่าวว่า ผู้จัดการกองทุนกำลังปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อรับมือสำหรับมาตรการฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ทั้งนี้ ดัชนี Nikkei ปิดปรับตัวสูงขึ้น 0.7% ที่ระดับ 22,306.48 จุด อย่างไรก็ดี ภาพรวมรายสัปดาห์ปรับตัวลดลง 0.9% ด้านดัชนี Topix เพิ่มขึ้น 0.6% ที่ระดับ 1,552.33 จุด

· ตลาดหุ้นจีนปิดปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกัน 4 วันทำการ โดยดัชนีกลุ่มบลูชิพพุ่งขึ้น 1.93% ที่ระดับ 4,419.60 จุด ซึ่งทำระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี ท่ามกลางความหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากการที่รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

ผลการสำรวจภาคเอกชน เผยว่า ข้อมูลภาคบริการของจีนแระจำเดือนมิ.ย.ขยายตัวเร็วที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ เนื่องจากมาตรการผ่อน Lockdown จากการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น

ซึ่งการฟื้นตัวสะท้อนให้เห็นว่า โดยภาพรวมจีนมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น แม้ว่านักวิเคราะห์เชื่อว่าจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าที่จะกลับสู่ปกติก่อนเกิดวิกฤตไวรัสก็ตาม

โดยดัชนี Shanghai Composite พุ่ง 2.01% ที่ระดับ 3,152.81 จุด

· ตลาดหุ้นยุโรปเคลื่อนไหวผสมผสานในวันนี้ ท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯและจีนที่ออกมาดีขึ้นกว่าคาด ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อจากไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯกดดันมุมมองเชิงบวกกรณีดังกล่าวข้างต้น

โดยดัชนี Stoxx600 เคลือ่นไหวค่อนข้างทรงตัว ด้านหุ้นกลุ่มเทคโนโลยรเพิ่มขึ้น 0.9% ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารปรับลดลง 0.6%

ตลาดยุโรปกำลังดิ้นรนเพื่อรับแรงหนุนจากหุ้นเอเชียที่พุ่งสูงขึ้น หลังจากการสำรวจพบว่าภาคบริการของจีนเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบกว่าทศวรรษในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงให้ความสนใจไปยังข่าวเกี่ยวกับยอดผู้ติดเชื้อจาดไวรัสโคโนาทั่วโลก โดยรายงานจากสำนักข่าว Reuters แสดงให้เห็นว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายใหม่ในสหรัฐฯพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 55,000 ราย เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับการเพิ่มขึ้นรายวันของโลกที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์

ด้านนายแพทย์แอนโทนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวกับวุฒิสภาสหรัฐฯว่า สหรัฐฯไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส และจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่อาจพุ่งขึ้นมากกว่า 100,000 รายในแต่ละวัน หากไม่มีการดำเนินการใดๆ เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาด

อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อ ในเดือน มิ.ย. 63 อยู่ที่ 101.32 หดตัว -1.57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เมื่อเทียบกับเดือน พ.ค.63 ขยายตัว1.56% โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.) เฉลี่ยหดตัว -1.13%

ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ในเดือน มิ.ย.63 อยู่ที่ 102.50 หดตัว -0.05% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยนับเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี 8 เดือนที่ Core CPI ติดลบ และยังหดตัว -0.01% จากเดือน พ.ค.63 ส่วน 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.) เฉลี่ยยังเป็นบวก 0.32%


อ้างอิงจากประชาชาติธุรกิจ

- การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (3 ก.ค.) ดัชนี SET Index ปิดตลาดภาคเช้า อยู่ที่ระดับ 1,374.65 จุด ปรับขึ้น +0.52 จุด หรือคิดเป็น +0.04% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 39,219 ล้านบาท โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 1,370.69-1,380.08จุด โดย STGT STA และ GULF มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด

ขณะที่ดัชนี SET50 ปรับลง -1.37 จุด หรือ -0.15% อยู่ที่ 910.85 จุด โดยมีมูลค่าซื้อขายรวม 15,324 ล้านบาท (คิดเป็นราว 39.07% ของ SET)

- อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม-ซูเปอร์แวร์-อิเล็กทรอนิกส์ ลุยลงทุนเวียดนาม มุ่งคว้าสิทธิประโยชน์การค้าพึ่งแต้มต่อลดภาษีข้อตกลง CPTPP-EVFTA ได้ต้นทุนวัตถุดิบต่ำแถมค่าแรงถูก ทูตพาณิชย์เวียดนามชี้ตัวเลขขอส่งเสริมลงทุนโครงการใหม่ 4เดือนแรกปีนี้ทะลุ 26% เกือบ 1,000 โครงการ


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com