· ดอลลาร์ทรงตัวท่ามกลางนักลงทุนที่รอคอยข้อมูลแรงงานสหรัฐฯคืนนี้
ดอลลาร์ทรงตัวต่อท่ามกลางที่ตลาดที่มีทั้งข่าวดีจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรป และข่าวร้ายเกี่ยวกับยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนส่วนใหญ่รอคอยการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อันได้แก่ ภาคแรงงานในคืนนี้เวลา 19.30น. ตามเวลาประเทศไทย
ข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯคืนนี้ถูกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3 ล้านตำแหน่ง แต่ก็ยังมีความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเติบโตได้มั่นคงหรือไม่ จากสภาวะการระบาดของไวรัสโคโรนาที่เพิ่มมากขึ้นและหลายๆรัฐมีการกลับมาใช้มาตรการจำกัดภาคธุรกิจและการทำกิจกรรมบางส่วน
ทั้งนี้ หากข้อมูลออกมาน่าผิดหวังจะกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรนั้นอ่อนตัวลง แต่ดอลลาร์อาจจะตอบรับไม่มากนัก ขึ้นอยู่กับว่านักลงทุนจะตอบรับกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯท่ามกลางความท้าทายในการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกอย่างไร
ผลสำรวจทางเศรษฐกิจในกลุ่มภาคโรงงานส่วนใหญ่ดูจะไปในทิศทางเดียวกันเกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นจีน, เยอรมนี และฝรั่งเศสที่เห็นถึงการฟื้นตัว ขณะที่ข้อมูลจ้างงานเอกชนสหรัฐฯที่ประกาศโดย ADP เมื่อวานนี้ออกมาเพิ่ม 2.4 ล้านตำแหน่ง
อย่างไรก็ดี การกลับมาเปิดทำการทางเศรษฐกิจดูจะชะงักงันลงไปในสหรัฐฯจากจำนวนยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่เงินเยนวันนี้ทรงตัวได้บริเวณ 107.53 เยน/ดอลลาร์ ด้านยูโรทรงตัวแนว 1.1257 ดอลลาร์/ยูโร
ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเหนือ 1.25 ดอลลาร์/ปอนด์เป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ ท่ามกลางนักวิเคราะห์หลายรายที่มองว่าปอนด์อาจแข็งค่าได้อีกประมาณ 4% ในปีนี้ หากอังกฤษและอียูสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้
· เปรียบเทียบเงินผลประโยชน์กรณีว่างงาน ระหว่าง การมี กับไม่มีเงินส่วนเพิ่มพิเศษ 600 เหรียญต่อสัปดาห์ภายใต้โครงการ The CARES Act
ภายใต้โครงการ CARES Act หรือ The Coronavirus Aid, Relief, and Economic Security Act มีการเพิ่มเงินผลประโยชน์สวัสดิการการว่างงานเป็นเงินส่วนเพิ่มพิเศษ 600 เหรียญต่อสัปดาห์ให้กับผู้รับผลประโยชน์ว่างงาน เป็นเงินที่รัฐบาลกลางสนับสนุนเพิ่มเติมจากผลประโยชน์การว่างงานปกติที่จัดสรรโดยแต่ละรัฐ
ทั้งนี้ ในแต่ละรัฐ มีการจ่ายเงินผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน เช่น ในช่วงก่อนเกิดการระบาดของไวรัส รัฐมิสซิสซิปปี จ่ายโดยเฉลี่ย 213 เหรียญต่อสัปดาห์
หากเปรียบเทียบกับการไม่มีเงินสนับสนุนพิเศษจากโครงการดังกล่าว เงินผลประโยชน์ที่ชาวอเมริกันจะได้รับจากกรณีว่างงานจะลดลงถึง 61% โดยเฉลี่ย จากเฉลี่ย 980 เหรียญต่อสัปดาห์เหลือเฉลี่ย 380 เหรียญต่อสัปดาห์
ทั้งนี้ เงินสนับสนุนส่วนเพิ่มพิเศษดังกล่าว จะยุติตั้งแต่ 31 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไปไปหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากสภาคองเกรส ซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติจากกลุ่มที่ไม่ให้ด้วยในพรรครีพลับลิกัน ซึ่งต้องการเปลี่ยนไปใช้รูปแบบ back-to-work bonus หรือสิทธิประโยชน์การจากการกลับมาทำงาน
หากยุติผลประโยชน์ดังกล่าว ชาวอเมริกันกว่า 31 ล้านคนจะได้รับเงินผลประโยชน์สวัสดิการการว่างงานลดลงอย่างมาก
· คาดจ้างงานขยายตัวมากสุดในเดือนมิ.ย. แต่ภาพรวมดูตลาดแรงงานยังอ่อนแอ
เศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มจะเห็นการจ้างงานเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ในเดือนมิ.ย. ท่ามกลารงร้านอาหารและบาร์ที่กลับมาเปิดให้บริการ จึงช่วยบรรเทาภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากการเผชิญ Covid-19 ไปได้บ้าง แม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารอบใหม่ดูจะกลับมาเป็นปัจจัยคุกคามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
กระทรวงแรงงานกำลังจับตายังใกล้ชิดต่อข้อมูลจ้างงานที่จะประกาศในคืนนี้ที่อาจเป็นตัวเสริมข้อมูลเศรษฐกิจเชิงบวกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายผู้บริโภค และกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ
ทั้งนี้ การกลับมาเปิดทำการทางธุรกิจก็ยังคงเผชิญกับแรงกดัดนจากยอดผู้ติดเชื้อระลอกใหม่ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในพื้นที่แคลิฟอร์เนีย, ฟลอริด้า และเท็กซัส
หลายๆรัฐมีการถอนนโยบายการกลับมาเปิดทำการทางเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงปลายเดือนที่แล้ว และให้พนักงานบางส่วนยังคงอยู่แต่ในที่พัก และนี่ดูจะสร้างผลกระทบต่อข้อมูลจ้างงานภาคธุรกิจตั้งแต่ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา
ข้อมูลผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จากรอยเตอร์ส ระบุว่า แนวโน้มของภาวะการจ้างงานดูจะขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ 3 ล้านตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นการรีบาวน์ต่อจากข้อมูลในเดือนหน้าที่อยู่ที่ 12.3% จาก 13.3%
รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นมา 1.355 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 1.48 ล้านราย โดยนักเศรษฐศาสตร์จาก Moody’s Analytics กล่าวว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานกำลังเริ่มที่จะลดน้อยลง และช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจทั้งกลุ่มรายได้จากความแตกต่างทางทักษะที่เกิดขึ้น
สำหรับอัตราว่างงานก็ดูจะปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน จากระดับ 13.3% ในเดือนพ.ค. ก็ดูจะออกมาที่ 12.3 ล้านรายในเดือนมิ.ย. จากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของภาคบริษัท แต่บางสถานที่อย่าง ร้านอาหาร บาร์ ยิม และร้านหมอฟัน ก็ดูจะยังปิดทำการไปก่อนเพื่อชะลอการระบาดของไวรัสเพิ่มเติม
· ประธานเฟดเซนต์หลุยส์เตือนถึงวิกฤตทางการเงินท่ามกลางการระบาดของไวรัส
Financial Times รายงานว่า นายเจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวถึงการระบาดของไวรัสโคโรนาอาจนำมาซึ่งวิกฤตทางการเงินและภาวะล้มละลายของภาคธนาคารได้ ดังนั้น สิ่งที่ต้องระวังคือการรักษากลไกการกู้ยืมในเวลานี้ แม้ว่าปัจจุบันจะมีการเสริมสภาพคล่องแก่ตลาดการเงินต่างๆก็ตาม
· อินเดียมียอดผู้ติดเชื้อทะลุ 600,000 ราย เสียชีวิตแตะ 17,834 ราย ท่ามกลางกลุ่มผู้กำหนดนโยบายที่พยายามเข้าควบคุมการระบาดของไวรัส ในช่วงที่มีการคลาย Lockdown
· NHK รายงานว่ากรุงโตเกียวมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาทะลุ 100 รายแล้วในวันนี้ โดยยอดผู้ติดเชื้อรายวันยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 รายที่ทำไว้ในสัปดาห์ก่อน หลังจากที่เมื่อวานก็มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มมา 67 ราย และรายงานยอดผู้ติดเชื้อล่าสุดดูจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังจากที่มีการคลายมาตรการ Lockdown
อย่างไรก็ดี ยังไม่มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นจะทำการประกาศภาวะฉุกเฉินรอบใหม่
· กลุ่มนักลงทุนตอบรับความเป็นไปได้ต่อชัยชนะของนายไบเดนมากขึ้นในศึกการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯปีนี้
นักลงทุนดูจะมีการเตรียมความพร้อมมากขึ้นสำหรับความผันผวนของตลาดก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยนักลงทุนบางรายมีการปิดสถานะในหุ้น และขายดอลลาร์ จากโอกาสที่ดูเหมือนว่า นายโจ ไบเดน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตจะคว้าชัยชนะครั้งนี้แทนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
แต่ทุกอย่างก็มีโอกาสจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอเพราะยังมีเวลาอีก 4 เดือนก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 3 พ.ย. และนักลงทุนหลายๆคนก็ดูจะให้ความสนใจว่าการเพิ่มขึ้นของไวรัสโคโรนาครั้งนี้จะส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯมากน้อยเพียงใด
กลุ่มผู้จัดการการเงินบาง่ส่วยน พร้อมที่จะรับกับความเป็นไปได้หากนายไบเดนได้รับชัยชนะทั้งมีการขายดอลลาร์และลดสถานะในหุ้นที่พวกเขาถือครอง
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น จากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่ปรับตัวลงอย่างหนัก ขณะที่ตลาดได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาและมาตรการ Lockdown ในรัฐแคลิฟอร์เนียอาจกดดันความต้องการเชื้อเพลิงที่ฟื้นตัว
ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 25 เซนต์ หรือคิดเป็น 0.6% ที่ระดับ 40.07 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 25 เซนต์เช่นเดียวกัน หรือคิดเป็น 0.6% ที่ระดับ 42.28 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้น 1.8% ในช่วงก่อนหน้า
ขณะที่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 7.2 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 534 ล้านบาร์เรล ซึ่งแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการเพิ่มกำลังการผลิตของโรงกลั่นฯ ในสหรัฐฯ และการนำเข้าน้ำมันดิบจากซาอุดิอาระเบียที่ปรับตัวลดลง