· ยูโรแข็งค่าได้รับแรงหนุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของอีซีบี
ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้นทำระดับสูงสุดรอบ 3 เดือน หลังจากที่อีซีบีมีการขยายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มกว่าที่ตลาดคาดหวังไว้ ท่ามกลางคาดการณ์ที่จะเห็นเศรษฐกิจถดถอยมากที่สุดนับตั้งแต่ที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
การเคลื่อนไหวของอีซีบีได้ช่วยสนับสนุนค่าเงิน และออสเตรเลียดอลลาร์ให้ขึ้นไปทำระดับแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 5 เดือน ท่ามกลางเงินปอนด์ที่ยืนเหนือสูงสุดในรอบ 2 เดือน โดยค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.25% ที่ 1.1367 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับแข็งค่ามากที่สุดรอบเกือบ 3 เดือน และสัปดาห์นี้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นได้แล้วกว่า 2.4% ถือเป็นการแข็งค่าต่อเนื่องสัปดาห์ที่ 3
ความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนดูจะสดใสขึ้นหลังจากที่ในเดือนที่แล้วเยอรมนีให้การสนับสนุนสหภาพยุโรปในการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟู ให้แก่เศรษฐกิจในภูมิภาค
ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 บริเวณ 96.510 จุด ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่ามากที่สุดในรอบเกือบ 3 เดือน ขณะที่ค่าเงินเยนทรงตัวที่ 109.33 เยน/ดอลลาร์ ถือเป็นระดับอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 2 เดือน
ความผันผวนในค่าเงินสกุลสินทรัพย์ปลอดภัยสะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกของตลาดการเงิน ท่ามกลางการผ่อนคลายมาตรการ SOcial Distancing ในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรํฐฯออกมาต่ำกว่า 2 ล้านรายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลางเดือนมี.ค. แม้ว่าจะยังเป็นการขอรับสวัสดิการว่างงานที่มากขึ้นตั้งแต่ช่วงยุควิกฤตทางการเงิน
สำหรับคาดการณ์การประกาศตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯที่ออกมาที่ -8 ล้านตำแหน่งในเดือนนี้ ก็ดูจะดีขึ้นหลังจากที่ไปทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ -20.54 ล้านรายในเดือนเม.ย.
ในส่วนของอัตราว่างงานถูกคาดว่าจะพุ่งไปแตะ 19.8% ซึ่งมากที่สุดหลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และน่าจะเพิ่มขึ้นจากเม.ย. ที่มีอัตราว่างงานจาก 14.7%
· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นก่อนหน้าการประกาศข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯคืนนี้ โดยปรับขึ้นมาที่ 0.8418% ด้านผลตอบแทนอายุ 30 ปี ปรับขึ้นแตะ 1.6480%
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเริ่มปรับตัวขึ้นหลังจากที่อีซีบีมีการประกาศวงเงินการเข้าซื้อพันธบัตรที่มากขึ้นกว่าที่คาดการณ์ แต่ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯคืนนี้ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญ รวมไปถึงเรื่องอัตราว่างงานด้วยในช่วงเวลาประมาณ 19.30น.
· นักเศรษฐศาสตร์จาก Morgan Stanley กล่าวว่า สหรัฐฯไม่มีแนวโน้มจะต้องการทำลายข้อตกลง “เฟสแรก” ที่ได้ลงนามกับจีนไว้ แม้ว่าความตึงเครียดระหว่างสองประเทศจะทวีความรุนแรงแรงมากขึ้น
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวไว้ในดือนที่แล้วว่าเขาค่อนข้างจะมีความคิดถึงเรื่องการฉีกข้อตกลงเฟสแรกทิ้งดีหรือไม่ และถ้อยแถลงดังกล่าวของเขาก็ดูจะยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนและนักวิเคราะห์ที่คาดอาจเห็นการกลับมาขึ้นภาษีการค้าระหว่างกันและจะถือเป็นปัจจัยบั่นทอนหรือทำลายเศรษฐกิจโลก
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Mogan Stanley กล่าวว่า ในมุมมองของเขา เศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ ตราบเท่าที่ข้อตกลงการค้าเฟสแรกยังคงดำเนินไป ก็ดูจะไม่เห็นถึงความตึงเครียดในเรื่องภาษีครั้งใหม่ ดังนั้น สิ่งที่ทีมทรัมป์ให้ความสนใจน่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจและน่าจะไม่ต้องการทำลายข้อตกลงการค้าเฟสแรก และความเสี่ยงของการเกิด Trade War ครั้งใหม่ก็น่าจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกมากขึ้นไปอีก ซึ่งทั้งหมดนี้จึงไม่น่าจะมีเกิดขึ้น
· อัตราว่างงานสหรัฐฯส่อแววแตะ 20% ท่ามกลางการระบาดของไวรัสบั่นทอนตลาดแรงงานเดือนพ.ค.
อัตราว่างงานสหรัฐฯมีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นใกล้ 20% ในเดือนพ.ค. ซึ่งจะถือเป็นอัตราการว่างงานระดับสูงครั้งใหม่นับตั้งแต่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่ามกลางประชาชนนับล้านรายที่สูญเสียตำแหน่งงานจากวิกฤตไวรัสโคโรนา
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯให้ความสำคัญใกล้ชิดกับรายงานการจ้างงานรายเดือนในคืนนี้ที่อาจออกมาแย่กว่าที่คาดการณ์ และถ้าเป็นเช่นนั้นอาจต้องใช้เวลาหลายปีในการกลับมากู้คืนเศรษฐกิจที่อ่อนแอ แต่การคลายมาตรการ Lockdown ในเดือนนี้ก็ดูเหมือนจะทำให้ธุรกิจกลับมาเปิดทำการได้มากขึ้นหลังจากที่ปิดตัวไปตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมี.ค.
ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ภาคการผลิต และอุตสาหกรรมการบริการดูจะมีเสถียรภาพมากขึ้นหลังจากที่ลงไปทำระดับต่ำสุดท่ามกลางความหวังที่ว่าวิกฤตในครั้งนี้จะจบสิ้นลง
· โพลล์สำรวจจาก Reuters ระบุว่า ยอดการส่งออกของจีนประจำเดือนพ.ค. มีแนวโน้มร่วงลง หลังจากที่ดีดตัวขึ้นอย่างมากในเดือนที่แล้ว อย่างไรก็ดี ยอดการนำมีสัญญาณที่ดีขึ้น เนื่องจากกลุ่มผู้ผลิตจีนกลับมาเปิดทำการได้อีกครั้ง
โดยยอดการส่งออกคาดว่าจะหดตัว 7% จากปีก่อนหน้า เมื่อเทียบกับการที่ขยายตัวได้ 3.5% ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ยอดการนำเข้ามีแนวโน้มลดลง 9.7% ในปีนี้ ซึ่งลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ร่วงลงไปที่ระดับ 14.2% จากเดือนก่อนหน้า ท่ามกลางการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบทั่วโลก หลังจากที่ลงไปทำจุดต่ำสุดเมื่อปีที่แล้ว รวมทั้งการกลับมาเปิดทำการอีกครั้งในกลุ่มภาคการผลิต
· บุนเดสแบงก์ ชี้ เยอรมนีอาจจำเป็นต้องใช้เวลา 2ปี เพื่อก้าวออกจากเศรษฐกิจถดถอย
รายงานจากธนาคารกลางเยอรมนี เผยว่า เศรษฐกิจเยอรมนีจะหดตัวลงในปีนี้และอาจใช้เวลากว่า 2 ปีในการกลับมาฟื้นตัว โดยการฟื้นตัวจะเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไปท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนาที่คุกคามให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
เศรษฐกิจยูโรโซนเองก็ถูกคาดว่าจะหดตัวลงประมาณ -7.1% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการประเมินหลังจากที่อีซีบีทำการเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อคืนนี้
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจากภาคส่วนรัฐบาลและสภาเศรษฐกิจต่างก็คาดว่าจะเห็นเศรษฐกิจดิ่งลงในกรอบระหว่าง -6% ถึง -7%
เศรษฐกิจเยอรมนีโดยองค์รวมคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา และคาดว่าจะมีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป
· ราคาน้ำม้ันดิบอ่อนตัวท่ามกลางความไม่แน่นอนของกลุ่มผู้ผลิตในเรื่องข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิต
ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงในวันนี้ ท่ามกลางตลาดที่รอจะเห็นบรรดาผู้ผลิตรายใหญ่ที่จะขยายการปรับลดกำลังการผลิตเป็นประวัติการณ์เพื่อสนับสนุนราคาน้ำมัน
ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับลง 8 เซนต์ หรือ -0.2% ที่ 39.91 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปรับลง 15 เซนต์ หรือ -0.4% ที่ 37.26 เหรียญ/บาร์เรล
อย่างไรก็ดี น้ำมันดิบทั้ง 2 ชนิดยังคงปรับตัวขึ้นได้เป็นสัปดาห์ที่ 6 โดยตลาดยังมีแรงหนุนจากสัญญาณที่อาจเห็นข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่ม และอุปสงค์น้ำมันที่น่าจะเพิ่มขึ้นหลังผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา
· รัสเซียเผย ประชุม OPEC+ จะเริ่มต้นวันเสาร์นี้
รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานรัสเซีย กล่าวว่า การประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์กับสมาชิกผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ในนาม OPEC+ จะเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้เวลาประมาณ 21.00น. พรุ่งนี้ และคาดจะสิ้นสุดช่วง 23.00น. (ตามเวลาประเทศไทย)