• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 26 พฤษภาคม 2563

    26 พฤษภาคม 2563 | SET News
 

· “สงครามการค้า” ความเสี่ยงใหญ่กว่าไวรัสโคโรนาที่จะเป็นปัญหาต่อตลาดหุ้น!

นางคริสตินา ฮูเปอร์ จากบริษัท Invesco’s กล่าวเตือนว่า การระบาดของไวรัสโคโรนาไม่ได้เป็นภัยร้ายแรงต่อตลาด แต่กรณีตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะเป็นปัจจัยลบร้ายแรงในตลาดหุ้น เนื่องจากการระบาดของไวรัสเริ่มทรงตัวและมีแรงหนุนจากนโยบายทางการเงิน รวมทั้งเฟดที่ช่วยนสนับสนุนจึงช่วยบรรเทาพิษเศรษฐกิจได้

แต่ปัญหาเรื่องการค้า โดยเฉพาะการขึ้นภาษีการค้าถือเป็นผลลบโดยตรงต่อตลาดการเงิน โดยจะเห็นได้ตั้งแต่ที่เกิด Trade War ช่วงปลายปี 2018 และในปี 2019 สงครามการค้าที่นำมาซึ่งการขึ้นภาษีระหว่างกันดูเป็นปัญหาที่ค่อนข้างใหญ่มาก และสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดหุ้น รวมทั้งเศรษฐกิจโดยองค์รวม และหากสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้งก็จะทำให้ตลาดหุ้นต้องเผชิญกับความผันผวนในแบบเดียวกัน


· หุ้นเอเชียฟื้นตัว หวังวัคซีน, ญี่ปุ่นยกเลิกภาวะฉุกเฉิน

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่บริษัท Novavax ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาวัคซีนรายใหญ่ของสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ว่า ทางบริษัทได้เริ่มทำการทดลองทางคลินิกเฟสแรกในการใช้วัคซีน NVX-CoV2373 เพื่อต้านไวรัสโคโรนา โดยคาดว่าจะสามารถทราบผลเบื้องต้นเกี่ยวกับความปลอดภัย และความสามารถในการกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันจากการทดลองดังกล่าวในเดือนก.ค.นี้

โดยเช้านี้ ดัชนี Nikkei เปิด +0.98% หลังหุ้นบริษัท Fast Retailing ที่พุ่งขึ้นประมาณ 2% ด้านดัชนี Topix เปิด +0.8%

การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากนายชินโซอาเบะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นได้ยกเลิกภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศแล้ว โดยทางการญี่ปุ่นประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินดังกล่าวใน 42 จังหวัด จากทั้งหมด 47 จังหวัด

ขณะที่ดัชนี Kospi เกาหลีใต้ก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกัน 0.42% จากหุ้น LG Chem ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 5%

ดัชนี S&P/ASX 200 ออสเตรเลีย เพิ่มขึ้น 0.25%

ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้น 0.11%


· นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ระหว่าง 31.85-32.05 บาท/ดอลลาร์ โดยค่าเงินบาทอ่อนค่าแต่ยังไม่หลุด 32.00 บาท/ดอลลาร์ อาจเป็นเพราะเมื่อวานนี้ธุรกรรมเบาบาง เนื่องจาก หลายตลาดปิดทำการ โดยปัจจัยที่มีผลกระทบเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ


· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เผยทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.80-32.20 บาท/ดอลลาร์ โดยตลาดเริ่มเปิดรับความเสี่ยงหลังมีความหวังมากขึ้นจากข่าวผลการทดลองวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ผลน่าพอใจในขั้นต้น รวมถึงการคาดการณ์ว่าอาจจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มเติม ขณะที่มีข้อขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน จะกลับมารุมเร้าบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง

- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการฯ คนปัจจุบัน ซึ่งจะดำรงตำแหน่งครบวาระแรกในวันที่ 30 ก.ย.63 ไม่ประสงค์จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคัดเลือกสำหรับการดำรงตำแหน่งในวาระที่ 2

- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่าจากการติดตามสถานการณ์สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในภาพรวม พบว่าสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทยมีสัญญาณเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงต้นไตรมาส 2/63 โดยเบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในเดือนเม.ย.63 อาจเติบโต 5.2% YoY เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และมีแนวโน้มขยายตัวสูงตลอดทั้งไตรมาส 2/63 ในกรอบประมาณ 5.0-6.0% ขยับขึ้นจากที่ขยายตัว 4.0% ในไตรมาสที่ 1/2563 ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพยังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น นอกจากนี้ อีกประเด็นเฝ้าระวัง จะอยู่ที่หนี้ที่สถาบันการเงินเข้าช่วยดำเนินการปรับโครงสร้าง ซึ่งจากยอดรวมหนี้ที่ได้รับ ความช่วยเหลือจากสถาบันการเงิน 6.12 ล้านล้านบาท (ณ วันที่ 15 พ.ค.63) นั้น ประเมินว่าส่วนของธนาคารพาณิชย์อาจคิดเป็น ประมาณ 30% ของสินเชื่อรวม ซึ่งคงต้องยอมรับว่า สถานการณ์ของลูกหนี้กลุ่มนี้ในระยะต่อไป ยังคงผันแปรตามเงื่อนไขการฟื้นตัวของภาวะ เศรษฐกิจและสถานการณ์เฉพาะของแต่ละธุรกิจ อันจะมีนัยต่อทิศทางคุณภาพหนี้ รวมถึงภาระในการตั้งสำรองฯ ของธนาคารพาณิชย์ในระยะ ข้างหน้าด้วยเช่นกัน

- เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ชี้แจงแนวทางการเสนอโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กรอบวงเงิน 400,000 ล้านบาท โดยจะเปิดให้มีการเสนอโครงการเข้ามาภายในวันที่ 5 มิ.ย.นี้ และจากนั้นจะมีการประชุมหารือ ก่อนส่งให้สศช.พิจารณา และเสนอทางคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณาจัดทำความเห็น ก่อนนำเสนอ ครม.ภายในวันที่ 7 ก.ค.นี้และเริ่มจ่ายเงินไปยังโครงการต่างๆได้ภายในก.ค.นี้ ซึ่งต้องเป็นโครงการที่ดำเนินการได้เสร็จภายในปีงบประมาณ 64

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com