• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 3 เมษายน 2563

    3 เมษายน 2563 | SET News

· ราคาน้ำมันดิบขึ้นหนุนหุ้นสหรัฐฯ!

ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางความคาดหวังที่จะเห็นการสงบศึกกันระหว่างซาอุดิอาระเบียกับรัสเซีย รวมทั้งการปรับลดกำลังการผลิต และประเด็นนี้ได้ช่วยหนุนให้หุ้นสหรัฐฯฟื้นตัวจากแรงกดดันของข้อมูลผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯที่ออกมาแย่ที่สุดเป็นประวัติการณ์

ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 469.93 จุด หรือ +2.24% ที่ 21,413.44 จุด ทางด้าน S&P500 ปิด +2.28% ที่ 2,526.9 จุด และ Nasdaq ปิด +1.72% ที่ 7,487.31 จุด

ราคาดัชนี S&P500 ในกลุ่มพลังงานปรับลงไปประมาณ 50% ในปีนี้จากข่าว Price War และการระบาดของไวรัสโคโรนาที่เป็นปัจจัยกดดันอุปสงค์ในประเทศ และทำให้ราคาน้ำมันร่วงไปกว่า 9.08%

ทั้งนี้ ซาอุดิอาระเบียมีการเรียกร้องให้จัดประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันเป็นการฉุกเฉิน ในขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคาดหวังที่จะเห็นซาอุฯและรัสเซียกลับมาร่วมลดกำลังการผลิตได้มากถึง 10-15 ล้านบาร์เรล/วัน และประเด็นดังกล่าวทำให้น้ำมันดิบ WTIปิด +24.7% ทางด้าน Brent พุ่ง 21.5% ทำให้น้ำมันดิบสองชนิดมีอัตราการขึ้นรายวันที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์

· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับตัวขึ้นในเช้าวันนี้ ท่ามกลางราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยดัชนีนิกเกอิเปิด +1.16% และ Topix เปิด +1.17% ในส่วนของ Topix เปิด +0.68%

ขณะเดียวกันตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิด +0.31%

แต่ถึงแม้ตลาดหุ้นจะตอบรับกับข่าวน้ำมันขึ้นแต่เช้านี้น้ำมันดิบก็ถูกเทขายลงมาหลังจากขึ้นแรง โดย Brent Futures เปิด -0.94% ที่ 29.66 เหรียญ/บาร์เรล สำหรับ WTI Futures เช้านี้เปิด -4.58% ที่ 24.16 เหรียญ/บาร์เรล

อย่างไรก็ดี ถึงจะมีข่าวดีมาให้ตลาดปรับขึ้นได้ แต่หลายๆฝ่ายก็ยังคงกังวลต่อผลกระทบทั่วโลกจากการะบาดของไวรัสโคโรนา โดยเฉพาะข้อมูลผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมากในสัปดาห์ที่แล้ว อันเนื่องจากภาวะ Shutdown กิจกรรมในประเทศ

นักวิเคราะห์จาก Commonwealth Bank of Australia กล่าวว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นจากการที่สหรัฐฯประกาศใช้มาตรการ Lockdown ดังนั้น ตัวชี้วัดสำคัญจะอยู่ที่รายงานจ้างงานภาครัฐบาลสหรัฐฯในเดือนหน้า ที่จะประกาศข้อมูลของเดือนเม.ย.มากกว่า เพราะคาดจะเห็นการจ้างงานและอัตราว่างงานแย่ลงครั้งใหญ่ กว่าข้อมูลที่จะเปิดเผยในคืนนี้

· นักบริหารการเงิน ประเมินว่า ในวันนี้ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.90-33.15 บาท/ดอลลาร์ โดยยังไร้ปัจจัยใหม่หนุน ขณะที่ระหว่างวันเมื่อวานนี้เงินบาทแข็งค่าสุดที่ระดับ 32.95 บาท/ดอลลาร์ และ อ่อนค่าสุดที่ระดับ 33.17 บาท/ดอลลาร์ ส่วนที่มีข่าวที่ประกาศเคอร์ฟิวนั้นเป็นช่วงเวลาที่ไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันและกิจกรรมทางเศรษฐกิจยังไม่ กระทบต่อตลาดเงิน

· อ้างอิงจากประชาชาติธุรกิจ

- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ ศบค. ได้ลงนามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 2) ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรและได้ออกข้อกำหนด (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 25 มีนาคม พศ. 2563 แล้ว โดยห้ามบุคคลใดทั่วราขอาณาจักรออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 22.00 นาฬิกาถึง 04.00 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น

· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ล่าสุด พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอีก 104 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย รวมยอดเสียชีวิต 15 ราย ยอดผู้ติดเชื้อรวมสะสมขณะนี้ 1,875 ราย

- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีของไทย เปิดเผยว่า จากการประชุมร่วมกับ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการประเมินเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ เห็นว่าจำเป็นต้องเร่งออกมาตราการดูแลเศรษฐกิจชุดที่ 3 ซึ่งครอบคลุมทุกกลุ่ม

- รมว.คลังของไทย กล่าวว่า แหล่งเงินที่จะใช้สำหรับดำเนินมาตรการดูแลเศรษฐกิจระยะที่ 3 จะมาจากงบประมาณรายจ่าย ปี 63 โดยจะมีการออก พ.ร.บ.โยกงบประมาณของทุกกระทรวง ในส่วนที่ไม่จำเป็นมาใช้ดำเนินการ โดยยืนยันว่าการโยกงบดังกล่าวนี้ จะไม่ส่งผลกระทบกับการจ่ายเงินเดือนของข้าราชการและลูกจ้าง ซึ่งขณะนี้สำนักงบประมาณกำลังพิจารณาดำเนินการ จึงยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีจำนวนเงินเท่าใด นอกจากนี้ จะมีการออก พ.ร.ก.กู้เงินภายในประเทศเพิ่มเติม

- หัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย กล่าวว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลจะต้องใช้ยาแรงเพื่อแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 ที่เป็นวิกฤติใหญ่ที่กำลังลุกลามจากวิกฤตด้านสาธารณสุขไปสู่วิกฤตด้านเศรษฐกิจ มีความรุนแรงกว่าวิกฤตแฮมเบอเกอร์หรือวิกฤตต้มยำกุ้งโดยผลกระทบครั้งนี้ขยายวงกว้าง


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com