• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 17 มกราคม 2563

    17 มกราคม 2563 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าทำระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน เมื่อเทียบกับเงินเยน ท่ามกลางแรงหนุนจากยอดค้าปลีกที่ประกาศออกมาขยายตัวตามคาดเมื่อคืนนี้ ขณะที่ค่าเงินหยวนแข็งค่า หลังการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ออกมาสดใส จึงยิ่งหนุนมุมมองของตลาดที่ดีอยู่แล้วจากการลงนามในข้อตกลงให้ดียิ่งขึ้น

โดยค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าทำระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 110.305 เยน/ดอลลาร์ จึงเป็นการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องจากระดับต่ำสุดที่ 107.65 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนที่ลงไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวแถว 97.322 จุด เนื่องจากสกุลเงินส่วนใหญ่ค่อนข้างที่จะทรงตัว

ค่าเงินยูโรทรงตัวแถว 1.1133 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินปอนด์ทรงตัวแถว 1.3035 ดอลลาร์/ปอนด์



· ค่าเงินหยวนในประเทศแข็งค่าทำระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนที่ 6.8660 หยวน/ดอลลาร์ ท่ามกลางแรงหนุนจากตัวเลขทางเศรษฐกิจจีนที่ประกาศออกมาสดใสและบ่งชี้ถึงการเริ่มกลับมาสมดุลของเศรษฐกิจ



· นักวิเคราะห์จากธนาคาร MUFG มีมุมมองว่า ข้อมูลเศรษฐกิจจีนมีการรีบาวน์ในบางภาค อย่างเช่น ภาคการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและผลผลิตของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสอดคล้องกับสัญญาณว่าทิศทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนกำลังจะจบลง

ขณะที่ตลาดดูเหมือนจะตอบรับกับการลงนามในข้อตกลงการค้าระหว่งาสหรัฐฯและจีนไปในเชิงบวกมากกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากสหรัฐฯและจีนมีแนวโน้มที่จะหยุดการขึ้นภาษีกันและกัน รวมถึงเริ่มต้นการเจรจาการค้าเฟสที่สองแล้วด้วย ทางธนาคารจึงกำลังพิจารณาจะเพิ่มคาดการณ์ค่าเงินหยวนขึ้นเล็กน้อย



· ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายการเมืองของประเทศจีนจากสถาบัน TS Lombard คาดการณ์ว่า จีนจะยึดมั่นและปฏิบัติตามข้อตกลงเฟสแรกที่ลงนามร่วมกับสหรัฐฯอย่างเคร่งครัด อย่างน้อยไปจนถึงการเลือกตั้งสหรัฐฯในเดือน พ.ย. เนื่องจากจีนได้ลงทุนในข้อตกลงดังกล่าวไปมาก เพราะเชื่อมั่นว่าข้อตกลงจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนกลับมาสู่สมดุล



· สถาบันด้านสถิติแห่งประเทศจีน ยืนยันว่าทางรัฐบาลจีนจะมีการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในปี 2020 เพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญแรงกดดันในเชิงลบต่อไป



· รายงานจาก CNN ระบุว่า ภาพรวมจีดีพีจีนปีนี้ขยายตัวได้ 6.1% ท่ามกลางรายงานจีดีพี Q4/2019 ที่ขยายตัวได้ตามคาดที่ 6% ที่เผชิญกับระดับหนี้ที่อยู่ในระดับสูง อุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอตัว และปัญหาสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

ทั้งนี้ รัฐบาลจีนตั้งเป้ากรอบการเติบโตปี 2019 ไว้ที่ 6 - 6.5% ท่ามกลางจีนและสหรัฐฯที่มีการลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกร่วมกันไปในสัปดาห์นี้ และความตึงเครียดในระยะสั้นๆก็ดูจะผ่อนคลายลงไป



· รายงานผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจีนซึ่งเป็นอีกหนึ่งดัชนีชี้วัดความสำคัญทางเศรษฐกิจขยายตัวได้ 5.7% เมื่อเทียบรายปีในปี 2019 จากเดิมที่ขยายตัวได้ 6.2% ในปี 2018 ขณะที่ภาพรวมอัตราการขยายตัวล่าสุดก็ดูจะสูงขึ้นกว่าในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2019

ขณะที่ข้อมูลรายเดือนในเดือนธ.ค. พบว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนเติบโตได้ 6.9% หรือเพิ่มขึ้นจากเดือน พ.ย. ประมาณ 0.7%



· ธนาคารกลางเกาหลีใต้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ตามคาดที่ระดับ 1.25% เพื่อใช้เวลาในการประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำเพื่อช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์หรือไม่



· เอกอัคราชทูตยุโรปประจำประเทศจีน ระบุว่าการเจรจาเพื่อข้อตกลงด้านการลงทุนระหว่างยุโรป-จีน กำลังเดินไปด้วยดี และเข้าสู่ “ขั้นตอนสำคัญ” หลังจากเจรจากันมากว่า 6 ปี โดยการเจรจาข้อตกลงด้านการลงทุนครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้สิทธิ์ที่มากขึ้นในการเข้าถึงตลาดจีนแก่บรรดาบริษัทยุโรป



· ราคาน้ำมันค่อนข้างทรงตัวในวันนี้ ท่ามกลางรายงานตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่แสดงให้เห็นว่าจีนมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างซบเซา จึงย้อนแย้งกับมุมมองเชิงบวกที่มีต่อการลงนาในข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่น่าจะช่วยหนุนปริมานอุปสงค์ในน้ำมันได้

ราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับลง 4 เซนต์ แถว 64.58 เหรียญ/บาร์เรล ภาพรวมรายสัปดาห์มีแนวโน้มปรับลดลง 0.6% โดยเป็นการปรับลดลงติดต่อกัน 2 สัปดาห์

ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับลง 7 เซนต์ แถว 58.45 เหรียญ/บาร์เรล ภาพรวมรายสัปดาห์มีแนวโน้มปรับลดลง 1% โดยเป็นการปรับลดลงติดต่อกัน 2 สัปดาห์



· WTI Price Analysis: ราคาเผชิญแนวต้านที่เส้นค่าเฉลี่ยราย 50 วัน


ราคาน้ำมัน WTI เคลื่อนไหวแถวระดับ 58.50 เหรียญ/บาร์เรล ในช่วงเช้าวันนี้ จึงนับว่าราคาไม่สามารถผ่านเส้นค่าเฉลี่ยราย 50 วันไปได้ แม้ก่อนหน้านี้จะมีกลับตัวขึ้นมาจากเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วัน และยืนเหนือระดับ 50% Fibonacci retracement ได้ก็ตาม

นักลงทุนจะจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน โดยราคาจะยืนยันทิศทางขาขึ้น หากยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยราย 50 วัน ที่ระดับ 59.00 เหรียญ/บาร์เรล และจะย่อตัวลงหากหลุดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วัน ที่ระดับ 57.70 เหรียญ/บาร์เรล

ในกรณีที่ราคายืนยันทิศทางใดทิศทางหนึ่ง จะมีเป้าหมายถัดไปของแต่ละฝั่งอยู่ที่ 56.65 เหรียญ/บาร์เรล และ 60.10 เหรียญ/บาร์เรล

หากราคาคงอยู่ในทิศทางขาขึ้นเหนือ 60.10 เหรียญ/บาร์เรล ก็จะมีโอกาสสูงที่จะกลับขึ้นทดสอบ 62.50 เหรียญ/บาร์เรล

ในทางกลับกัน หากราคาลงต่ำกว่า 56.65 เหรียญ/บาร์เรล จะมีเป้าหมายต่อไปที่ 54.90 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com