• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 15 มกราคม 2563

    15 มกราคม 2563 | Economic News

· ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง ขณะที่ค่าเงินเยนกลับมาแข็งค่าขึ้นหลังมีรายงานว่าสหรัฐฯจะยังเก็บภาษีสินค้าจากจีนตลอดจนช่วงเลือกตั้งปีนี้และนั่นสร้างความเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยง เพราะเป็นการสะท้อนว่าสหรัฐฯจะไม่พิจารณาและถอนนโยบายภาษีในเร็วๆนี้ แต่ต้องรอจนกว่า 10 เดือนหลังจากที่ข้อตกลงดังกล่าวถูกลงนาม ดังนั้น เราจึงเห็นความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น

ดัชนีดอลลาร์เช้านี้ทรงตัวที่ 97.387 จุด หลังจากที่ช่วงต้นตลาดเคลื่อนไหวที่ 97.562 จุด ขณะที่เงินเยนกลับมาแข็งค่าบริเวณ 109.92 เยน/ดอลลาร์ หลังจากที่อ่อนค่าไปที่ 110.2 เยน/ดอลลาร์ ด้านเงินหยวนอ่อนค่ามาที่ 6.89 หยวน/ดอลลาร์ หลังจากที่แข็งค่าไป 6.87 หยวน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแข็งค่ามากที่สุดตั้งแต่ 11 ก.ค.

ค่าเงินยูโรร่วงลงแตะ 1.1130 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ทำแข็งค่าบริเวณ 1.1239 ดอลลาร์/ยูโร เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.

บรรดาเทรดเดอร์และนักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์จับตาไปยังจำนวนที่จีนจะเข้าซื้อสินค้าจากสหรัฐฯเพิ่มขึ้นภายใต้ข้อตกลงเฟสแรก โดยแหล่งข่าววงในให้รายละเอียดคร่าวๆถึงการที่จีนจะเข้าซื้อสินค้ากลุ่มพลังงานเพิ่มขึ้น 5 หมื่นล้านเหรียญ และจะเพิ่มการเข้าซื้อสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นประมาณ 3.2 หมื่นล้านเหรียญในช่วง 2 ปี เพื่อให้สูงกว่าระดับ 2.4 หมื่นล้านเหรียญในปี 2017 และข้อตกลงดังกล่าว ยังรวมไปถึงการกำหนดการเข้าซื้อสินค้าภาคการผลิตเพิ่มอีก 8 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งจะทำให้Gap การค้าระหว่างสองประเทศลดลง 3 แสนล้านเหรียญ

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ได้ศึกษา Flow ของสินค้าโภคภัณฑ์จีนมองว่าก็ยังไม่แน่ชัดว่าจีนจะสามารถทำตามข้อเสนอของสหรัฐฯได้สำเร็จโดยปราศจากท่าทีคุกคามทางการค้าจากซัพพลายเออร์อื่นๆหรือไม่ รวมทั้งจะรับมือกับผลกระทบที่ตามมาในกลุ่มผู้ผลิตภายในประเทศ และการสร้างเสถียรภาพในการเปลี่ยนแปลงภาคนำเข้าให้เป็นมาตรฐาน รวมทั้งโควตาต่างๆได้ ซึ่งการที่จีนจะเพิ่มการนำเข้าและลดยอดเกินดุลการค้าจากปัจจุบันที่คิดเป็น 1.5% ของจีดีพี หรือดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อตกลงจากสหรัฐฯ ดูเหมือนจะเกิดขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีมากกว่า

นักวิเคราะห์จาก SIA Energy กล่าวว่า เป้าหมายที่จีนจะเข้าซื้อสินค้ากลุ่มพลังงานของสหรัฐฯที่ 5 หมื่นล้านเหรียญดูจะมากเกินไปและไม่น่าจะทำได้สำเร็จ ท่ามกลางระดับที่จีนเคยนำเข้าสินค้าประเภทดังกล่าวดูจะอยู่ที่ 8 พันล้านเหรียญในช่วงปี 2017 และปี 2018 และการจะแตะเป้า 2.5 หมื่นล้านเหรียญต่อปี ก็ดูจะทำให้มูลค่าการนำเข้าสินค้าจำเป็นต้องเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัว

นักเศรษฐศาสตร์จาก ING มองว่าการที่จีนจะเข้าซื้อสินค้าเกษตรสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 3 หมื่นล้านเหรียญในช่วง 2 ปีนี้ยิ่งสร้างภาวะตื่นตระหนก เนื่องจากไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ และจะส่งผลให้ราคาสินค้าในกลุ่มโภคภัณฑ์ทั่วโลกอาจปรับตัวลงได้ โดยเฉพาะจีนที่ต้องปรับลดภาษีนำเข้าในเดือนม.ค. หลังจากที่มีการถอนการข้นภาษีบางส่วนจากสหรัฐฯ ซึ่งสิ่งนี้ไม่เพียงจะกระทบต่อประเทศอื่นๆ ยังรวมถึงประเทศสหรัฐฯด้วย และตลาดก็ตั้งคำถามว่า สินค้าที่จีนจะซื้อจากสหรัฐ ตลอดจนแอฟริกันอาจสร้างอุปสรรคต่ออุปสงค์ในกลุ่มถั่วเหลืองสำหรับเป็นอาหารสัตว์ ตลอดจนโควต้าอื่นๆที่ต้องเป็นการป้องกันเกษตรกรภายในประเทศไม่ให้เกิดการจำกัดการส่งออกเมล็ดพันธุ์ที่มากเกินไป

ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองไปในทางเดียวกันว่า หากปริมาณการเข้าซื้อของจีนเพิ่มขึ้นตามที่รายงานระบุ ก็อาจสร้างผลเสียครั้งใหญ่ต่อตลาดในประเทศจีนได้

· นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯกล่าวว่า สหรัฐฯจะยังคงระดับภาษีสินค้านำเข้าจีนจนกว่าจะเกิดข้อตกลงเฟส 2 ระหว่างสหรัฐฯและจีน

· บรรดานักลงทุนกำลังรอรายละเอียดของข้อตกลงการค้าเฟสแรกที่สหรัฐฯและจีนจะลงนามร่วมกันในวันนี้ ขณะที่มุมมองเชิงบวกดังกล่าวดูจะทำให้ดัชนีหุ้นสหรัฐฯทำ All-Time High ต่อเนื่อง แม้ว่าข้อมูลภาคบริการดูจะกดดันตลาดและทำให้ดัชนีเคลื่อนไหวแดนลบบ้าง

ทางด้านนักวิเคราะห์บางส่วน มองว่า อาจเห็นความผันผวนในตลาดในช่วงที่มีการเปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีน แต่ข้อตกลงดังกล่าวก็น่าจะมีรายละเอียดไม่มากนักที่จะสามารถจบปัญหาสงครามการค้าได้ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะส่งผลลบต่อตลาด และสร้างความผันผวนต่อตลาด โดยจะเห็นได้ว่ารายงานล่าสุดจาก Bloomberg ก็ยังสร้างความกังวลต่อตลาด เนื่องจากบ่งชี้ว่า สหรัฐฯจะยังเดินหน้าเก็บภาษีจีนออกไปจนกว่าจะมีข้อตกลงเฟส 2

· การลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีของอังกฤษเติบโตขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในสหรัฐฯและจีนในปีที่แล้วโดยมีเม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 44% ทำสูงสุดเป็นประวัตารณ์ที่ 1.32 หมื่นล้านเหรียญในปี 2019 ขณะที่ภาคการลงทุนในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯและจีนชะลอตัวลงตั้งแต่ ม.ค. - ธ.ค. โดยที่สหรัฐฯปรับลง 20% และจีนร่วงลง 65% อันเป็นผลจากภาวะสงครามการค้า

· นักวิเคราะห์จาก UBS คาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยได้มากถึง 3 ครั้งในปีนี้ อันเนื่องจากการขึ้นภาษีสินค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่เป็นปัญหาจะฉุดให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโตลดน้อยลงประมาณ 0.5% เมื่อเทียบรายปีในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020

· อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี กล่าวตำหนิอิหร่านที่ยกเลิกตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับปี 2015 ว่าอาจนำมาซึ่งข้อกำหนดมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่จากอียูภายใต้ข้อตกลง

· ท่ามกลางสหรัฐฯและจีนที่จะลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรก และปัญหาตึงเครียดตะวันออกกลางที่บรรเทาลงไป โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 31 เซนต์ หรือ +0.5% ที่ 64.51 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้าน WTI ปิดปรับขึ้น 15 เซนต์ หรือ +0.3% ที่ 58.23 เหรียญ/บาร์เรล

ภาพทางเทคนิคหลัง WTI ปรับตัวลงไปทำต่ำสุดรอบกว่า 5 เดือนที่ระดับ 57.72 เหรียญ/บาร์เรล ก่อนจะดีดกลับมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย MA ราย 200 วัน

· รายงานจาก CNBC ระบุถึงแนวโน้มอุปสงค์อุปสงค์น้ำมันจะยังได้รับอานิสงส์จากการลงนามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่จะเป็นก้าวแรกในการยุติข้อพิพาทที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกและความต้องการน้ำมัน

อ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ระบุเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าสั้นๆว่า จีนให้คำมั่นที่จะเข้าซื้อน้ำมันจากสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 5 หมื่นล้านเหรียญในช่วง 2 ปีนี้

อย่างไรก็ดี แม้จะมีปัญหาทางการค่าแต่การนำเข้าน้ำมันดิบของจีนก็พุ่งสูงขึ้นกว่า 9.5% ในปีที่แล้ว และมีการทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 17 เดือนด้วยเช่นกันในปีที่ผ่านมาจากการเติบโตของอุปสงค์และการเข้าซื้อที่เพิ่มขึ้นของบรรดาผู้นำเข้ารายใหญ่

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com