• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 13 มกราคม 2563

    13 มกราคม 2563 | Economic News

· ค่าเงินในตลาดเอเชียส่วนใหญ่แข็งค่าขึ้น ก่อนหน้าการลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกที่จะเกิดขึ้นในวันพุธ ขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าหลังธนาคารกลางส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ย

ค่าเงินหยวนและดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่านำสกุลเงินอื่นๆในตลาด โดยทั้งสองค่าเงินต่างแข็งค่า 0.3% ค่าเงินหยวนแข็งค่าหลุดระดับ 6.9 หยวน/ดอลลาร์ แถวระดับ 6.8959 หยวน/ดอลลาร์

ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าทำระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ที่ 0.6919 ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งค่า 0.8% ทำระดับสูงสุดเมื่อสัปดาห์ก่อนที 0.6650 ดอลลาร์ และค่าเงินยูโรทรงตัวแถว 1.1128 ดอลลาร์/ยูโร

ค่าเงินปอนด์อ่อนค่า 0.3% แถว 1.3037 ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน หลังถ้อยแถลงของสมาชิกธนาคารกลางอังกฤษเมื่อช่วงสุดสัปดาห์เป็นไปในเชิงผ่อนคลาย และมีสัญญาณของการลดดอกเบี้ย



· ภาคธุรกิจมีความกังวลว่า ข้อตกลงเฟส 1 ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯกับจีนจะลงนามกันในวันพุธนี้ และอาจจะยังไม่เกิดข้อตกลงเฟส 2 ตามมา ขณะที่ภาษีการค้าที่ขึ้นกันก็จะยังมีอยู่

นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังคงกังวลมากขึ้นว่าจะยังเป็นการยากที่จะเห็นการแก้ไขปัญหาระหว่างสหรัฐฯและจีนสำหรับข้อตกลงที่เกิดขึ้นของทั้งสองฝ่าย



· รายงานจาก Channel News Asia ระบุว่า ถึงนายทรัมป์ จะกล่าวในช่วง New Year's Eve ว่าจะลงนามข้อตกลงกับจีนในเฟสแรกได้วันที่ 15 ม.ค.นี้ แต่รายละเอียดข้อตกลงทั้งหมดก็ยังไม่ชัดเจน จนกว่าจะถึงวันพฤหัสบดีนี้ หลังจากที่รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของจีน กล่าวยืนยันถึงการที่ นายหลิว เห่อ รองนายกรัฐมนตรีจีนจะทำการเยืนสหรัฐฯตั้งแต่วันจันทร์นี้ถึงวันพุธ และรายละเอียดของข้อตกลงก็ยังคงไม่มีการเปิดเผยใดๆ

นายแลรี่ คุดโลว์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กล่าวว่า รายละเอียดส่วนใหญ่ของข้อตกลงเฟสแรกจะเปิดเผยในวันพุธนี้



· อลาสทาเอีย นิวตัน ผู้บริหารสถาบัน Alavan Business Advisory และอดีตนักการทูตอังกฤษมีมุมมองว่า แม้ภาวะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนจะเป็นปัจจัยหลักที่ตลาดให้ความสำคัญในปี 2019 แต่ในปีนี้ตลาดอาจให้ความสำคัญไปยังความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่านมากกว่าแทน โดยคาดการณ์ว่า อิหร่านอาจเดินหน้าตอบโต้สหรัฐฯมากขึ้นภายในปีนี้



· CEO แห่งธนาคาร Standard Chartered มีมุมมองว่า ทิศทางของเศรษฐกิจโลกกำลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และบรรดาผู้ประกอบการจะเริ่มกลับมาดำเนินแผนการระยะยาวของพวกเขาอีกครั้ง ท่ามกลางภาวะที่สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนดูใกล้ที่จะสามารถลงนามข้อตกลงเฟสแรกกันได้ และผลกระทบของการประท้วงในฮ่องกงที่เริ่มเบาบางลง และมีสัญญาณของการกลับมาของนักท่องเที่ยวอีกครั้ง



· นักวิเคราะห์จาก National Bank of Canada แนะนำให้ตลาดจับตาการประกาศตัวเลข CPI ของสหรัฐฯในสัปดาห์นี้

โดยราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นอย่างมากในเดือน ม.ค. นี้ อาจเป็นปัจจัยที่หนุนให้ตัวเลขออกมาเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 0.3% ขณะที่ภาพรวมรายปีเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.4% ขณะที่ดัชนี Core CPI มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจากภาคการบริการ

ขณะที่ยอดค้าปลีกในเดือน ธ.ค. มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นได้อย่างมาก เนื่องช่วงวันหยุด Thanksgiving ที่เกิดขึ้นค่อนข้างช้าในปีก่อน รวมถึงเทศกาล Cyber Monday ที่เกิดขึ้นในเดือน ธ.ค. จึงจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันในยอดค้าปลีกปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างมาก

นอกจากนี้ ยังมีรายงาน Beige Book ของเฟดที่น่าจับตาเช่นกัน



· ยอดขายเครื่องจักรในประเทศจีนปรับลดลง 0.1% ในเดือน ธ.ค. ส่งผลให้ภาพรวมปี 2019 ยอดขายลดลง 8.2% และเป็นการปรับลดลงติดต่อกัน 18 เดือน



· อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงระหว่างประเทศประจำตัวประธานาธิบดีโอบามา มีความเห็นว่า เป้าหมายระยะยาวของรัฐบาลเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯมากที่สุด

ภัยคุกคามดังกล่าวคือการที่จีนพยายามควบคุมประชาชนโดยใช้เทคโนโลยี อย่างที่เห็นได้จากการวัดคะแนนคุณธรรมที่สามารถกำหนดการงาน การเดินทาง สุขภาพชีวิต และหลายๆอย่างของประชาชนได้ และมาตรการดังกล่าวก็กำลังได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และจีนก็อาจพยายามผลักดันระบบดังกล่าวออกไปสู่ต่างประเทศ



· นางแครี แลม ผู้นำรัฐบาลฮ่อง ยืนยันว่า บทบาทของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางทางการเงินโลกยังคงไม่กระทบกระเทือน แม้จะเผชิญการประท้วงที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลาหลายเดือนก็ตาม



· HSBC เผยว่า ประเทศเวียดนามดูจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกและมีทิศทางเศรษฐกิจที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้ โดยเป็นผลมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ดูจะทำให้ภาคบริการและการส่งออกของเวียดนามคึกคัก และขับเคลื่อนให้จีดีพีโตได้ 7% ในปีนี้ แต่ภาพรวมเวียดนามเองก็ยังคงมีความเสี่ยงจากปัญหากีดกันทางการค้าและเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ โรคไข้หวัดหมูดูจะส่งผลให้ราคาหมูในจีนเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้น และความกังวลจากเรื่องเงินเฟ้อก็ยังไม่หมดไปหากปัญหาตึงเครียดตะวันออกกลางผลักดันให้ราคาน้ำมันยังคงปรับตัวสูงขึ้น



· ราคาน้ำมันดิบทรงตัว ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและอิหร่านที่คลี่คลายลง โดยนักลงทุนให้ความสนใจไปที่ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนในสัปดาห์นี้ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นการการเติบโตทางเศรษฐกิจและอุปสงค์ของน้ำมันได้

ทั้งนี้ น้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 1 เซนต์ ที่ระดับ 64.99 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ น้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 5 เซนต์ ที่ระดับ 59.09 เหรียญ/บาร์เรล จากช่วงก่อนหน้านี้


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com