• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 13 มกราคม 2563

    13 มกราคม 2563 | Economic News


· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจากระดับแข็งค่าที่สุดในรอบ 4 สัปดาห์เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเยน และสวิสฟรังก์ จากความเป็นไปได้ที่ความตึงเครียดอิหร่าน-สหรัฐฯครั้งใหม่จะเข้ากดดันความเชื่อมั่นของตลาดที่กังวลว่าการที่สหรัฐฯคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่เมื่อวันศุกร์จะส่งผลกระทบเพิ่มขึ้นต่อเศรษฐกิจอิหร่านในฐานะประเทศก่อการร้าย

นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯประจำเดือนธ.ค. ที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาดที่ 145,000 ตำแหน่ง หรือลดลงจากเดือนพ.ย. 111,000 ตำแหน่ง ขณะที่ข้อมูลจ้างงานในเดือนพ.ย.ถูกปรับทบทวนลง 14,000 ตำแหน่ง ล่าสุดอยุ่ที่ 256,000 ตำแหน่ง ด้านค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงก็ออกมาแย่กว่าที่คาดที่ระดับ 0.1% จาก 0.3% ในเดือนก่อนหน้า และอัตราว่างงานยังคงทรงตัวที่ 3.5% และมีแนวโน้มว่าเฟดน่าจะยังไม่มีท่าทีเปลี่ยนแปลงต่อแนวทางการคงดอกเบี้ยเวลานี้

ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.1% ที่ 97.30 จุด หลังจากไปทำแข็งค่ามากสุดรอบ 2 สัปดาห์ที่ 97.584 จุด ขณะที่เงินเยนแข็งค่าขึ้นมาที่ 109.49 เยน/ดอลลาร์

· หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Bank of the West ระบุว่า ข้อมูลจ้างงานล่าสุดของสหรัฐฯ บ่งชี้ถึงภาวะชะลอตัว และคาดจะเห็นการชะลอตัวต่อในช่วงเข้าสู่ปี 2020 นี้ รวมทั้งอาจบั่นทอนต่อข้อมูล GDP สหรัฐฯปีนี้เช่นกัน แต่ก็ยังไม่พบสัญญาณภาวะถดถอย โดยภาพรวมเศรษฐกิจจะยังขยายตัวได้เพียงแต่มีการชะลอตัวลงบ้าง

· นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า คณะผู้แทนจากจีนมีมติเห็นชอบร่วมกับทางสหรัฐฯที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเฟสแรกใดๆระหว่างดำเนินการแปลข้อตกลง รวมทั้งการจะเปิดเผยรายละเอียดข้อตกลงในสัปดาห์นี้ โดยเอกสารดังกล่าวมีการลงนามร่วมกันที่ประเทศสหรัฐฯ

นอกจากนี้ นายมนูชินยังให้สัมภาษณ์กับ FOX News โดยระบุว่า ข้อตกลงที่บรรลุร่วมกันได้เมื่อ 13 ธ.ค. ประกอบไปด้วยข้อเรียกร้องในการที่จีนจะต้องเข้าซื้อสินค้าเกษตรจากทางสหรัฐฯเพิ่ม 4 – 5 หมื่นล้านเหรียญ และจะมีมูลค่าการเข้าซื้อที่เพิ่มขึ้นแตะ 2 แสนล้านเหรียญในช่วง 2 ปี

· อ้างอิงจากรายงานของ Wall Street Journal ที่เป็นที่แรกที่รายงานถึงการจะกลับมาเจรจากันครั้งใหม่ของสหรัฐฯและจีนในลักษณะ Semi-Annual หรือการประชุมทุกครึ่งปีเพื่อแก้ไขข้อพิพาททางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ ซึ่งน่าจะถูกประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 ม.ค. ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่จะมีการลงนามข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนอย่างเป็นทางการ

· สำหรับสถานการณ์การเลือกตั้งในไต้หวัน หลังจากที่นางไช่ อิง เหวิน คว้าชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน และสามารถคว้าชัยในการดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 โดยประกาศกร้าวจะไม่ยอมก้มหัวให้คำขู่ของจีน

ล่าสุด จีนยังคงย้ำจุดยืนเดิมว่าไต้หวันยังคงเป็นหนึ่งในดินแดนของประเทศ และโลกจะต้องยอมรับว่ามีจีนเดียวเท่านั้น พร้อมกล่าวย้ำถึงการที่รัฐบาลจีนจะไม่เปลี่ยนแปลงท่าทีใดๆต่อหลักการจีนเดียว รวมทั้งการคัดค้านการเป็นเอกราชของไต้หวัน

อย่างไรก็ดี นางไช่ ยังคงเรียกร้องให้จีนฟื้นการเจรจาขึ้นใหม่ พร้อมคาดหวังว่าจีนจะเข้าใจจุดยืนของไต้หวัน รวมทั้งประชาชนที่จะไม่ยอมต่อคำขู่ใดๆ

· ในวันศุกร์ที่ผ่านมาทีมบริหารของนายทรัมป์ มีการประกาศมาตรการคว่ำบาตรฉบับใหม่ต่ออิหร่าน เพื่อตอบโต้การที่อิหร่านโจมตีฐานทัพสหรัฐฯในอิรักช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้ว โดยมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ดูจะพุ่งเป้าไปที่หลายภาคส่วนที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจอิหร่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการก่อสร้าง, การผลิต, สิ่งทอ, เหมืองแร่ และรวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงจำนวน 8 ราย ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯกล่าวว่า การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอิหร่านจะยังดำเนินต่อไปจนกว่าอิหร่านจะเปลี่ยนระบอบการปกครองและพฤติกรรมที่เป็นอยู่

· สถานการณ์ในอิหร่านล่าสุด มีผู้ชุมนุมออกมาตะโกนคำขวัญต่อต้านระบอบการปกครอง และเรียกร้องให้ผู้นำสูงสุดมีความละอายแก่ใจหลังเหตุยิงเครื่องบินยูเครนตกส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 179 ราย ขณะที่นายทรัมป์กำลังติดตามสถานการณ์การประท้วงดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยระบุว่าเป็นสิ่งที่ทั่วโลกกำลังจับตา พร้อมเตือนว่า “อิหร่านไม่ควรสังหารหมู่” อีกครั้ง หลังเกิดเหตุประท้วงครั้งนี้


เหตุการณ์ประท้วงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่รัฐบาลอิหร่านออกมายอมรับว่ามีการยิงเครื่องบินของสายการบินยูเครนตก ส่งผลให้บรรดานิสิตนักศึกษาออกมาชุมนุมแสดงความไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิต ทางด้านตำรวจมีการบุกเข้าสลายการชุมนุมหลังมีการตะโกนคำขวัญต่อต้านระบอบการปกครอง รวมทั้งทำลายโปสเตอร์นายพลโซเลมานี ที่การเสียชีวิตของเขากลายเป็นต้นเหตุความขัดแย้งครั้งใหม่ของอิหร่านและสหรัฐฯ

· สำนักข่าว KCNA เผยว่า ทางเกาหลีเหนือได้รับของขวัญวันเกิดแก่ผู้นำ คิม จอง อึน จากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่สิ่งนี้ก็ไม่เพียงพอที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ส่วนบุคคลได้

· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงต่ำกว่า 65 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งถือเป็นสัปดาห์แรกที่ปรับตัวลงมากที่สุดตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพ.ย. โดยราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงหลังจากที่สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและอิหร่านบรรเทาลงไป ขณะที่กลุ่มนักลงทุนให้ความสนใจต่อสต็อกน้ำมันของสหรัฐฯ และสัญญาณอื่นๆที่จะส่งผลต่อภาวะอุปทานน้ำมัน

นอกจากนี้ ตลาดยังคงให้ความสำคัญกับความเสี่ยงจากความขัดแย้งในระยะยาวว่าจะช่วยสนับสนุนราคาได้มากน้อยเพียงใด จากการที่สหรัฐฯประกาศมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่ออิหร่าน โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดลง 39 เซนต์ ที่ระดับ 64.98 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ WTI ปิดปรับลง 52 เซนต์ ที่ 59.04 เหรียญ/บาร์เรล

ภาพรวมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลงไป 5.3% ขณะที่ WTI ร่วงลง 6.4%


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com