• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 4 ธันวาคม 2562

    4 ธันวาคม 2562 | Economic News

· ค่าเงินเยนและสวิสฟรังก์ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลาร์ ท่ามกลางความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯกล่าวเตือนถึงข้อตกลงการค้าที่อาจถูกเลื่อนออกไปจนหลังศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯปีหน้า ขณะที่ค่าเงินหยวนอ่อนค่าทำระดับต่ำสุดรอบ 5 สัปดาห์ครึ่งเมื่อเทียบกับดอลลาร์ที่ 7.0738 หยวน/ดอลลาร์ จากความกังวลของกลุ่มนักลงทุนที่ว่าสหรัฐฯอาจเดินหน้าเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนตามแผนภายในวันที่ 15 ธ.ค.นี้

ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์จาก Gaitame.com กล่าวว่า กระแสคาดการณ์เกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่บรรเทาลงไป ดูจะส่งผลให้ดอลลาร์เมื่อเทียบเยนร่วงลงหลุดแนวรับสำคัญ และทำให้กลับสู่สภาวะขาลง ในขณะที่เยนสู่สภาวะขแข็งค่ามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มภาษีจะทำให้เงินเยนยิ่งแข็งค่าต่อ

ค่าเงินเยนทรงตัวที่ 108.6 เยน/ดอลลาร์ โดยเป็นระดับปิดแข็งค่ามาที่สุดตั้งแต่ 22 พ.ย. ทางด้านดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 97.768 จุด ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่ามากที่สุดรอบ 1 เดือน

ค่าเงินปอนด์ได้รับอานิสงส์จากการร่วงลงของดอลลาร์ โดยล่าสุดทรงตัวที่ 1.2993 ดอลลาร์/ปอนด์ ซึึ่งถือเป็นระดับปิดที่แข็งค่าที่สุดตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพ.ค.




· นักวิเคราะห์จาก FXStreet ระบุว่า ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 1.11 ดอลลาร์/ยูโร จากความหวังเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีนท่ี่เลือนลางลงไป ประกอบกับตลาดรอคอยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯสัปดาห์นี้

ซึ่งหากค่าเงินยูโรสามารถยืนได้เหนือ 1.11 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นสูงสุดในช่วงปลายเดือนพ.ย. ก็จะต้องจับตาระดับต่อไปที่ 1.1130 ดอลลาร์/ยูโร ที่เคยเป็นแนวรับในช่วงต้นเดือนพ.ย. เพราะหากฝ่าไปได้ก็มีโอกาสเห็นแนว 1.1180 ดอลลาร์/ยูโร ที่เคยทำ Double-Top ในระหว่างที่ปรับตัวลงช่วงเดือนต.ค. และ พ.ย.

ขณะที่แนวรับด้านล่าง ณ ขณะนี้อยู่ที่ 1.1050 ดอลลาร์/ยูโร ในช่วงปลายเดือนพ.ย. และจะมีแนวรับถัดไปที่ 1.1035 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งหากหลุดลงมามีโอกาสเห็นบริเวณต่ำสุดเดิมของเดือนพ.ย.ที่ 1.0980 ดอลลาร์/ยูโร




· ตลาดจะจับตาการประกาศตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐฯโดย ADP (Automatic Data Processing) ที่จะประกาศในคืนนี้ เวลา 20.15 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยคาดการณ์ว่าในเดือน พ.ย. จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ประมาณ 140,000 ตำแหน่ง จากเดือน ต.ค. ที่เพิ่มขึ้น 125,000 ตำแหน่ง

ทั้งนี้ การประกาศตัวเลขการจ้างงานโดย ADP แม้จะครอบคลุมแค่การจ้างงานของภาคเอกชน แต่สามารถเป็นสัญญาณชี้นำทิศทางของการจ้างนอกภาคการเกษตร (NFP) ที่ครอบคลุมทั้งภาครัฐและเอกชนได้อย่างแม่นยำ



จากทั้ง 2กราฟด้านบนจะเห็นได้ว่า การเคลื่อนไหวของ ADP และ NFP มีความสอดคล้องกันอยู่ในระดับสูง



· จากกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้สัญญาณที่ไม่คาดคิดเกี่ยวกับการยุติสงครามการค้าในเร็วๆนี้ แม้ว่าการเจรจากับจีนจะเดินหน้าไปด้วยดี แต่นายทรัมป์ก็แสดงจุดยืนในการต้องการสิ่งที่ดีกว่า ซึ่งระยะเวลาของนายทรัมป์สำหรับการขึ้นภาษีสินค้าจีนรอบใหม่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ เป็นมูลค่า 2.5 แสนล้านเหรียญ ที่รวมไปถึงอุปกรณ์ในหมวดเกมส์, จอคอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ ควบคู่กับกลุ่มเครื่องแต่งกาย, รองเท้า และของเล่น ขณะที่ ณ ปัจจุบันจีนถูกเรียกเก็บสินค้าอยู่ที่ 3.5 แสนล้านเหรียญ

นักวิเคราะห์จาก J.P. Morgan Chase ประเมินว่า ในเดือนส.ค. ผลจากการขึ้นภาษีได้กระทบต่อกลุ่มภาคครัวเรือนชาวสหรัฐฯประมาณ 1,000 เหรียญในแต่ละปี จึงยังไม่อาจนับผลรวมที่เพิ่มขึ้นได้ และมีภาวะล้มละลายของกลุ่มเกษตรกรเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นผลพวงจากตอบโต้ภาษีระหว่างกันในกลุ่มถั่วเหลือง, เนื้อหมู และผลิตพันธ์อื่นๆ แม้ว่าทรัมป์จะมีมาตรการอัดฉีดเม็ดเงิน 1.5 หมื่นล้านเหรียญเพื่อเยียวยาแต่ก็ไม่ช่วยอะไร



· สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ความขัดแย้งที่ “ไม่สามารถคลี่คลาย”

นักวิเคราะห์จากสถาบัน Plurimi Investment Managers มีมุมมองว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนในระยะยาวจะ “ไม่สามารถคลี่คลายลง”

โดยระบุว่า แม้ตลาดจะคาดหวังที่ทั้งสองประเทศจะลงนามร่วมกันในข้อตกลงการค้าเฟสแรกมาเป็นเวลาหลายเดือน แต่ข้อตกลงดังกล่าวจะ “ตื้น” และไม่สามารถส่งผลกระทบที่มีน้ำหนักต่อภาพรวมเศรษฐกิจได้ โดยอาจช่วยหนุนความเชื่อมั่นของตลาดได้ในระยะสั้นๆเท่านั้น

ปัจจัยที่เป็นความกังวลหลักของเศรษฐกิจในปี 2020 นักวิเคราะห์มองว่ามี 2 ประเด็น คือเรื่องของ Brexit และ สงครามการค้า

สำหรับเรื่องของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน นักวิเคราะห์มองว่า “ไม่มีวันคลี่คลายลง” เนื่องจากคำพูดของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ระบุว่า ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีนอาจเลื่อนไปเป็นหลังการเลือกตั้ง เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่สามารถบรรลุข้อตกลงกับจีนได้ เขาจะเปลี่ยนเป้าหมายการกดดันทางเศรษฐกิจไปยังประเทศอื่นๆ โดยอาจเป็นฝั่งอเมริกาใต้หรือยุโรป จึงมองว่า ไม่มีโอกาสที่ตลาดจะได้รับข้อตกลงที่จะทำให้การค้าโลกกลับสู่ภาวะปกติแต่อย่างใด



· สภาผู้แทนราษฏรสหรัฐฯกำลังพยายามผลักดันร่างกฏหมายต่อต้านการกักกันชาวอุยร์กูในประเทศจีน ที่ผ่านการลงมติในสภาผู้แทนฯด้วยคะแนนเสียง 407 ต่อ 1 เสียง โดยเป็นร่างกฏหมายที่จะประณามการกักกันชาวอุยกูร์พร้อมเรียกร้องให้จีนปิดค่ายกักกันในมณฑลซินเจียงลง

ขณะที่ทางจีนได้กล่าวประณามการผ่านร่างกฏหมายดังกล่าวของสหรัฐฯ ว่าเป็นการโจมตีประเทศจีน พร้อมเตือนจะมีมาตรการตอบโต้หากจำเป็น จึงกลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจกดดันโอกาสการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน โดยเฉพาะหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า ข้อตกลงการค้าอาจเลื่อนออกไปเป็นหลังการเลือกตั้งปีหน้า



· รายงานจากสถานทูตสหรัฐฯในประเทศจีนระบุว่า ทางสหรัฐฯจะไม่คาดการณ์ถึงวิธีที่จีนอาจใช้ตอบโต้การผ่านร่างกฏหมายคุ้มครองชาวอุยกูร์แต่อย่างใด และทางสถานทูตจะพยายามเรียกร้องให้รัฐบาลจีนปล่อยตัวชาวอุยกูร์ที่ถูกกักกันต่อไป



· เอกอัคราชทูตจีนเดินทางสู่เกาหลีใต้อย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ที่เคยขัดแย้งกันเกี่ยวกับประเด็นการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯในพื้นที่เกาหลีใต้



· สมาคมอุตสาหกรรมโซลาร์แห่งสหรัฐฯ เผยคาดการณ์เศรษฐกิจในอนาคต โดยระบุว่า การขึ้นภาษีของสหรัฐฯจะทำให้สูญเสียการจ้างงานถึง 62,000 ตำแหน่ง และสูญเสียมูลค่าการลงทุนไปกว่า 1.9 หมื่นล้านเหรียญ ขณะที่ทางทำเนียบโต้กลับว่าเป็น “ข่าวปด”



· ธนาคารกลางอินเดียถูกคาดการณ์ว่าจะทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ะดับ 4.90% ในการประชุมสัปดาห์นี้ และลงอีก 0.15% ภายในไตรมาสที่ 2/2020 หลังตัวเลขทางเศรษฐกิจประกาศออกมาพบว่าเศรษฐกิจอินเดียชะลอการเติบโตลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี ขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วนยังไม่เชื่อมั่นว่าการปรับลดดอกเบี้ยจะสามารถช่วยหนุนเศรษฐกิจอินเดียได้จริง



· ผลสำรวจนักวิเคราะห์จาก Reuters ชี้ว่า เม็ดเงินลงทุนในบริษัทจีนดูจะชะลอตัวลงมากที่สุดในรอบ 3 ปี ท่ามกลางความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ ประกอบกับความตึงตัวด้านสินเชื่อ และความยืดเยื้อของ Trade War ระหว่างสหรัฐฯ ที่กลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของยอดขายและการสำรองเงินสด

ทั้งนี้ ภาคบริษัทต่างต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในส่วนของสต็อกสินค้าในขณะที่ยอดขายลดลง ทำให้ผลกำไรของบริษัทลดน้อยลงตาม ท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อ่อนตัวลงที่สุดในรอบ3 ทศวรรษ จึงทำให้บรรดานักวิเคราะห์หลายรายมองว่าเศรษฐกิจเผชิญกับภาวะชะลอตัว และแนวโน้มดังกล่าวยิ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนมากขึ้น หลังจากที่เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯทำการประกาศว่า ข้อตกลงการค้ากับจีนอาจต้องรอหลังจบเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในช่วงเดือนพ.ย. ปี 2020

นักเศรษฐศาสตร์จาก Macquarie ระบุว่า ดูเหมือนสถานการณ์ทุกอย่างจะเลวร้ายก่อนที่จะดีขึ้น แม้ว่าจะมีข้อมูลเศรษฐกิจเชิงบวกจากจีนเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็ยังมีความผันผนและหลากหลายทางด้านปัจจัยต่างๆ รวมไปถึงสภาพอากาศอบอุ่นในเวลานี้ด้วย ซึ่งหากข้อตกลงเฟสแรกเกิดขึ้นก็อาจช่วยชดเชยความย่ำแย่



อย่างไรก็ดี บริษัทในจีนมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นประมาณ 1.6% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (Q3/19) ท่ามกลางการเติบโตที่ชะลอตัวลงมากที่สุดในรอบ 3 ปี อ้างอิงข้อมูลนี้โดยผลสำรวจนักวิเคราะห์จากทาง Reuters ประมาณ 2,900 บริษัทที่มีเม็ดเงินทุนสูงกว่า 100 ล้านเหรียญ



· เกิดการประทะกันทางวาจาระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ในการประชุมครบรอบ 70 ปีของสนธิสัญญา NATO หลังจากที่นายมาครงตำหนิความไร้ซึ่งวัตถุประสงค์ของสนธิสัญญา NATO ว่า “ไร้หัวคิด” รวมถึงต่อว่าหนึ่งในสมาชิกของ NATO ซึ่งก็คือตุรกี ที่ต้องสงสัยว่าทำงานร่วมกันอย่างลับๆกับตัวแทนของกลุ่ม IS

ซึ่งนายทรัมป์ก็ได้ตำหนิผู้นำฝรั่งเศสกลับว่า “น่ารังเกียจมาก” พร้อมกับตั้งคำถามว่า กองทัพสหรัฐฯควรให้การคุ้มครองประเทศที่ทำตัวเป็น “นักเลง” กับพันธมิตรหรือไม่



· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นในวันนี้ก่อนการประชุมของกลุ่มโอเปกและพันธมิตรในสัปดาห์นี้ซึ่งคาดว่าจะประกาศขยายเวลาของมาตรการลดกำลังการผลิตน้ำมันเพื่อรองรับตลาด ในขณะที่ข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้จึ่งช่วยหนุนให้ราคาปรับขึ้นอีก

น้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 44 เซนต์ หรือ 0.7% ที่ระดับ 61.26 เหรียญ/บาร์เรล

น้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 38 เซนต์ หรือ 0.7% ที่ระดับ 56.48 เหรียญ/บาร์เรล



· กลุ่มโอเปกและพันธมิตรที่นำโดยรัสเซีย มีแนวโน้มที่ประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีกภายในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อช่วยสนับสนุนราคาน้ำมันที่ตกต่ำ ขณะที่ทางอิรักได้เปิดเผยว่า ประเทศสมาชิกคนสำคัญในกลุ่มโอเปกต่างเห็นด้วยกับการปรับลดกำลังการผลิต

ขณะที่ทางรัสเซียคาดหวังว่าจะมีการประชุมร่วมกับผู้นำของกลุ่มโอเปกซึ่งก็คือซาอุดิอาระเบีย เพื่อประกาศให้การสนับสนุนการปรับลดกำลังการผลิต รวมถึงการเพิ่มเป้าหมายและมูลค่าหุ้นของ Aramco

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com