• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562

    14 พฤศจิกายน 2562 | Economic News

 · ดัชนีดอลลาร์ค่อนข้างทรงตัว หลังการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯออกมาสูงกว่าที่คาด ขณะที่ถ้อยแถลงของประธานเฟดก็ได้ส่งสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงยิ่งตอกย้ำถึงแนวโน้มที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในปี 2020

เครื่องมือ FedWatch tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ตลาดมีมองโอกาสที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยต่ำกว่า 30%ไปจนถึงเดือน ก.ค. ปี 2020และภาพรวมของโอกาสดังกล่าวก็ยิ่งต่ำลงหลังการประกาศตัวเลขเมื่อคืน

ด้านดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 0.05% แถว 98.36 จุด ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์เทียบกับยูโร แข็งค่า 0.08% แถว 1.0998 ดอลลาร์/ยูโร



· อย่างไรก็ตาม ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยนและสวิสฟรังก์ที่เป็น Safe-haven หลังมีรายงานว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนหยุดชะงักลงอีกครั้ง จากปัญหาเกี่ยวกับการเข้าซื้อสินค้าการเกษตร

โดยค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า 0.21% เมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 108.76 เยน/ดอลลาร์ และอ่อนค่า 0.38% เมื่อเทียบกับสวิสฟรังก์ที่ระดับ 0.989 ดอลลาร์



· ถ้อยแถลงของนายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด ต่อสภาคองเกรสเมื่อคืนนี้ ได้กล่าวถึงแนวโน้มที่เฟดจะไม่ปรับอัตราดอกเบี้ย ตราบใดที่เศรษฐกิจสหรัฐฯยังสามารถคงทิศทางการเติบโตแบบในปัจจุบันได้

เนื้อหาส่วนใหญ่ในถ้อยแถลงค่อนข้างใกล้เคียงกับการประชุมเฟดครั้งล่าสุด ที่ระบุว่าไว้ว่า เฟดได้ปรับเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินนโยบายมาเป็นแบบผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ พร้อมเตือนว่า การดำเนินนโยบายของเฟดมักจะเห็นผลกระทบได้ค่อนข้างช้า ซึ่งหมายความว่าเฟดจำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อประเมินสภาวะของเศรษฐกิจต่อไปอีกสักระยะ จนกว่าจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งต่อไป

สำหรับความท้าทายที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญ ยังคงเป็นเรื่องของความอ่อนแอในเศรษฐกิจต่างประเทศ ความตึงเครียดทางการค้า และอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำ

โดยในนายโพเวลล์ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อจำเป็นต้องปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เฟดถึงจะพิจารณากลับมาปรับขึ้นดอกเบี้ย

ทางด้านมุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มองว่าเศรษฐกิจยังสามารถเติบโตได้ดี ท่ามกลางตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง อัตราค่าจ้างที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่สดใส



· รายงานจาก CNBC ระบุว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนดูเหมือนจะประสบปัญหาและกดดันแนวโน้มที่ทั้งสองประเทศจะสามารถลงนามในข้อตกลงเฟสแรกได้ลงไปอีกครั้ง

โดยทางสหรัฐฯพยายามที่จะผลักดันให้จีนมีมาตรการที่ชัดเจนมากขึ้นสำหรับการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาและการบังคับส่งถ่ายเทคโนโลยี แลกกับการยกเลิกภาษี แต่ทางจีนดูเหมือนจะไม่มีการตอบรับที่ชัดเจน จึงทำให้การเจรจาชะงักลงอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ ทาง Wall Street Journal ได้เคยรายงานถึงปัญหาที่ทั้งสองประเทศประสบระหว่างการเจรจา คือการที่จีนลังเลที่จะยอมรับข้อเรียกร้องให้เข้าซื้อสินค้าการเกษตรจากสหรัฐฯเป็นมูลค่ามากถึง 5 หมื่นล้านเหรียญ เนื่องจากความกังวลว่าจะส่งผลกระทบในทางลบต่อภาวะอุปสงค์-อุปทานในประเทศ

นายแลรี คุดโลว์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ได้กล่าวเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา โดยยังคงยืนยันว่าจะไม่มีการปรับเปลี่ยนอัตราภาษีจนกว่าจะมีการลงนามในข้อตกลงเกิดขึ้น

ด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมาข่มขู่ว่า หากทั้งสองประเทศไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ จะทำให้ราคาสินค้าผู้บริโภคอย่าง โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป และของเล่น ปรับสูงขึ้นตามการขึ้นภาษีในช่วงเวลาเพียง 2 สัปดาห์ก่อนถึงเทศกาลคริสต์มาส



· การประกาศดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ (CPI) เมื่อคืนที่ผ่านมา พบว่าดัชนีปรับสูงขึ้นมากกว่าที่คาดในเดือน ต.ค. ที่ระดับ 0.4% จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.3% และยังเป็นการปรับขึ้นที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. ส่งผลให้ภาพรวมของดัชนีตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือน ต.ค. ปรับสูงขึ้น 1.8% จากเดิมที่ 1.7% ในเดือน ก.ย.

ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ปรับสูงขึ้นตามคาดที่ระดับ 0.2% ส่งผลให้ภาพรวมตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือน ต.ค. ปรับสูงขึ้น 2.3% จากเดิมที่ 2.4% ในเดือน ก.ย.

การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภค มาจากการที่ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายสินค้าที่มากขึ้นในกลุ่มพลังงาน อาหาร และอื่นๆ จึงช่วยผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางการค้าลงไปได้บางส่วน รวมถึงสนับสนุนแนวโน้มที่เฟดจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในระยะสั้น



· พรรค Conservative ในรัฐสภาอังกฤษได้ยื่นข้อเสนอให้กับนายไนเจล ฟาราจ หัวหน้าพรรค Brexit เพื่อให้ทั้งสองพรรคเป็นพันธมิตรกันในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเดือน ธ.ค. แต่นายฟาราจได้ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวไป เนื่องจากเขาต้องการให้พรรค Conservative ยกเลิกการส่งรายชื่อเข้าชิงตำแหน่งในรัฐสภา



· เศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 3/2019 ชะลออัตราการเติบโตลงสู่ระดับที่ต่ำสุดที่ในรอบ 1 ปี ท่ามกลางผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่กดดันปริมาณอุปสงค์จากต่างประเทศ

โดยญี่ปุ่นประกาศอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในภาพรวมรายปีออกมาที่ 0.2% สำหรับไตรมาสที่ 3/2019 ลดลงอย่างมากจากระดับ 1.8% ของไตรมาสที่ 2/2019



· ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นหลังรายงานของกลุ่มโอเปกที่ระบุว่า ยังไม่เห็นถึงสัญญาณของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และปริมาณการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯใน 2020 อาจต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้

โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 31 เซนต์ ปิดที่ 62.37 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากปรับร่วงลงไปถึง 1% ในช่วงต้นตลาด

ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 32 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 57.17 เหรียญ/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com