• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 7 พฤศจิกายน 2562

    7 พฤศจิกายน 2562 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการที่สหรัฐฯและจีนจะร่วมลงนามข้อตกลงการค้าได้หรือไม่ จึงทำให้บรรดาเทรดเดอร์ทำการลดสถานะก่อน

ด้านค่าเงินปอนด์มีระดับการซื้อขายใกล้ระดับอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 1 สัปดาห์ ก่อนที่บีโออีจะทำการประชุมในวันนี้ โดยน่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆตามที่คาด แต่กลุ่มนักลงทุนกำลังให้ความสนใจว่าบีโออีจะมีวิธีรับมือต่อความไม่แน่นอนและเปราะบางในเรื่อง Brexit อย่างไร

บรรดาเทรดเดอร์กำลังรอคอยผลการเลือกตั้งในวันที่ 12 ธ.ค. ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าพรรคอนุรักษ์นิยมจะสามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภาได้และหาข้อสรุป Brexit ได้ภายในกำหนดเส้นตาย 31 ม.ค. หรือไม่

· นักลงทุนหลายๆคนกำลังกังวลต่อภาวะความเสี่ยงทางแนวโน้มเศรษฐกิจโลกจากกรณีของ Trade War ระหว่างสหรัฐฯกับจีน และ Brexit ที่ยังไม่มีสัญญาณการแก้ปัญหาได้โดยเร็ว

ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 7.0124 จุด ขณะที่เยนแข็งค่าขึ้น 0.17% ที่ระดับ 108.8 เยน/ดอลลาร์ ในขณะที่สหรัฐฯและจีนมีความยืดเยื้อของสงครามการค้ามาอย่างยาวนาน 16 เดือน และทำให้การลงทุนทั่วโลกรวมทั้งการขยายตัวมีการชะลอตัวลง

ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงแตะ 7.0124 ดอลลาร์/ยูโร โดยปรับอ่อนค่าขึ้นจากระดับแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่ง ที่ระดับ 6.9880 หยวน/ดอลลาร์ที่ทำไว้เมื่อวันอังคาร

ค่าเงินปอนด์ทรงตัวที่ 1.2851 ดอลลาร์/ปอนด์ โดยเป็นการปิดระดับอ่อนค่ามากที่สุดตั้งแต่ 29 ต.ค. ขณะที่ค่าเงินยูโรทรงตัวที่ 1.1065 ดอลลาร์/ยูโร

ผลสำรวจโดย Reuters พบว่า บรรดานักเศรษฐศาสตร์กว่า 2 ใน 3 จากทั้งหมด 56 ท่าน มีมุมมองว่าค่าเงินดอลลาร์จะยังคงทิศทางแข็งค่าต่อไปได้อีกอย่างน้อย 6 เดือน ท่ามกลางการเข้าซื้อค่าเงินในฐานะ Safe-haven จากความไม่แน่นอนทางการค้า ขณะที่ 1 ใน 4 มองว่าค่าเงินจะคงทิสทางแข็งค่าต่อไปอีก 2 ปี

ส่วนในกรณีที่สหรัฐฯสามารถลงนามข้อตกลงร่วมกับจีนใน “เฟสแรก” ได้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่าค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงเพียง 1-2% เท่านั้น

เหตุผลที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอนทางการค้า มาจากปริมาณการถือครองเงินตราต่างประเทศสำรองของบรรดาธนาคารกลางต่างๆ ที่ต่างเพิ่มการถือครองค่าเงินดอลลาร์ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯถือว่ามีผลประกอบการที่แข็งแกร่งประเทศแนวหน้าอื่นๆ

· รายงานจากกระทรวงพาณิชย์จีน ระบุว่า ทั้งสหรัฐฯและจีนต่างฝ่ายควรมีการยกเลิกการขึ้นภาษีบางตัวพร้อมๆกัน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงการค้า “เฟสแรก” ร่วมกันได้

ขณะที่รายงานจาก CNBC ระบุว่า ทางกระทรวงพาณิชย์จีนได้กล่าวว่า สามารถตกลงกับสหรัฐฯเกี่ยวกับการที่จะยกเลิกภาษีบางตัวที่เคยประกาศขึ้นได้แล้ว

· รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งมาเลเซีย อ้างคำพูดของนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ โดยระบุว่า สหรัฐฯกำลังพิจารณาเสนอตัวป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC ภายในเดือน ม.ค. หลังจากที่ชิลียกเลิกการประชุมAPEC วันที่ 16 - 17 พ.ย. ไป

ขณะที่ทางมาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพให้กับการประชุม APEC ในช่วงปลายปี 2020

· นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าบีโอเจ ยืนยันว่าทางบีโอเจจะยังคงแนวทางการดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษต่อไป เพื่อผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อของประเทศขยายตัวถึงเป้าหมายที่ 2% แต่ได้ระบุว่า ยังจำเป็นต้องใช้เวลาอีกจนกว่าจะถึงเป้าหมายดังกล่าว

ด้านนายทาโร่ อาโซะ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังญี่ปุ่น แสดงความเชื่อมั่นว่าการใช้นโยบายดังกล่าวจะได้ผลตามที่คาดหวัง

· ธนาคารกลางอังกฤษจะมีการประชุมภายในคืนนี้ โดยตลาดคาดการณ์เป็นวงกว้างว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0.75% ดังนั้นตลาดจะให้ความสนใจไปยังถ้อยแถลงหลังการประชุม โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอัตราเงินเฟ้อ Brexit และการดำเนินนโยบายในอนาคต

· นักการทูต 3 คนที่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ติดต่อกับผู้นำยูเครนเพื่อขอความช่วยเหลือในการกดดันคู่แข่งทางการเมือง จะขึ้นกล่าวคำร้องออกสู่สาธารณชนผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ภายในสัปดาห์หน้า

· นายอดัม ชิฟฟ์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ทางคณะกรรมาธิการจะดำเนินการไต่สวนโดยเปิดเผยและเปิดคำให้การของพยานในคดีถอนถอดนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯออกจากตำแหน่ง เป็นครั้งแรกในสัปดาห์หน้า โดยนายชิฟฟ์เปิดเผยบนทวิตเตอร์ว่า คณะกรรมาธิการจะทำการไต่สวนนายนายวิลเลียม เทย์เลอร์ นักการทูตระดับสูงของสหรัฐฯในยูเครน และนายจอร์จ เคนต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านยูเครนและรัสเซียซึ่งทำหน้าที่เป็นรองผู้ช่วยเลขาธิการกระทรวงต่างประเทศในวันที่ 13 พ.ย.นี้ ส่วนนางมารี โยวาโนวิช เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเครนจะเข้ารับการสอบพยานในวันที่ 15 พ.ย.นี้

· นายเรย์ ดาริโอ ผู้ก่อตั้งสถาบัน Bridgewater Associates กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เขียนบทความผ่าน LinkedIn ที่มีหัวข้อว่า “เศรษฐกิจโลกเพี้ยนไปแล้ว และระบบการเงินก็เจ๊งบ๊ง” โดยระบุว่า เนื่องจากบรรดาธนาคารกลางมีการอัดฉีดเงินด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำให้กับบริษัทที่ไม่มีผลกำไรหรือมีส่วนช่วยในการขยายตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งอัตราหนี้สินของภาครัฐที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่างชนชั้นยิ่งกว้างมากขึ้น

· งานวิจัยจากสถาบัน GSMA Intelligence มีมุมมองว่า จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จะเป็นผู้นำด้านการให้บริการเครือข่าย 5G และกินส่วนแบ่งในตลาดโลกรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งภายในปี 2025ขณะที่ยุโรปจะมีส่วนแบ่งในตลาดน้อยลงตามมา เนื่องจากยุโรปสามารถพัฒนาเครือข่าย 5G ได้ช้ากว่าบรรดาประเทศข้างต้น

· Tencent และ Alibaba ประกาศอัพเดตแอพลิเคชั่น WeChat Pay และ Alipay ที่จะสนับสนุนการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตจากต่างประเทศ รวมถึงสามารถลงทะเบียนด้วยเบอร์มือถือจากต่างประเทศได้ ซึ่งหมายความว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะสามารถชำระเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอยในประเทศจีนกับร้านค้าที่สนับสนุนผ่านแอพลิเคชั่นได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

· รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งไต้หวัน เตือน รัฐบาลจีนอาจมีการดำเนินการกดดันทางทหารกับไต้หวันมากขึ้น หากเศรษฐกิจเผชิญแรงกดดันจากสงครามการค้าสหรัฐฯที่รุนแรงมากขึ้น

โดยจะเห็นได้ว่า ในขณะที่ไต้หวันกำลังเข้าใกล้การเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน ม.ค. รัฐบาลจีนก็ยกระดับมาตรการกดดันทางการเมืองกับไต้หวันที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อ “การกลับมารวมเป็นประเทศเดียวกัน”

ดังนั้นรัฐมนตรีฯจึงมีมุมมองว่า หากความไม่มั่นคงภายในรัฐบาลจีนหรือเศรษฐกิจจีนมีทิศทางที่เลวร้ายลง จีนอาจใช้กำลังทางทหารเข้ากดดันไต้หวัน เพื่อผ่อนคลายแรงกดดันทางเศรษฐกิจเข้ามาในไต้หวัน ซึ่งผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดอาจเป็นความขัดแย้งทางการทหาร

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางความคืบหน้าครั้งใหม่เกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ช่วยชดเชยกับแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของรายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ

ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 33 เซนต์ หริือ +0.5% ที่ 62.07 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่เมื่อวานร่วงลงไปเกือบ 2% ทางด้านน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 37 เซนต์ หรือ +0.7% เคลื่อนไหวใกล้ระดับปิดวานนี้แนว 56.72 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่เมื่อวานนี้ปิด -1.54%

รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวในวันนี้ว่า จีนและสหรัฐฯกำลังเห็นพ้องกันในเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างจะถอนการขึ้นภาษีกันบางตัวเพื่อให้บรรลุข้อตกลง "เฟสแรก" ร่วมกันได้

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com