• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 21 ตุลาคม 2562

    21 ตุลาคม 2562 | SET News

· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวหลังจากที่ร่วงลงไปในช่วงก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากความหวังเกี่ยวกับการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงหลังจากที่อังกฤษเลื่อนการลงมติข้อตกลง Brexit ออกไป

ด้านดัชนี MSCI ที่ไม่รวมหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 0.25%

· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นและปิดทำระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือนครึ่ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับประเด็น Brexit ที่ส่งผลให้นักลงทุนหลายรายชะลอการลงทุน

โดยดัชนี Nikkei เพิ่มขึ้น 0.25% ที่ระดับ 22,548.90 ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา ด้านดัชนี Topix เพิ่มขึ้น 0.41% ที่ระดับ 1,628.60 จุด

ขณะที่นักลงทุนหลายชะลอการลงทุนออกไปก่อนวันหยุดนักขัตฤกษ์ของญี่ปุ่นในวันพรุ่งนี้เนื่องในวันพระราชพิธีเฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์

· ตลาดหุ้นจีนปรัยตัวสูงขึ้น ท่ามกลางความหวังที่ว่าจีนและสหรัฐฯจะสามารถลงนามในข้อตกลงการค้าได้และจีนจะยังคงให้การสนับสนุนนโยบายด้านเศรษฐกิจต่อไป โดยดัชนี Shanghai Composite เพิ่มขึ้น 0.1% ที่ระดับ 2,939.62 จุด

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวแสดงความหวังว่า ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน จะสามารถลงนามร่วมกันได้ระหว่างการประชุม APEC (Asia-Pacific Economic Cooperation) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 16 และ 17 พ.ย. นี้ ณ ประเทศชิลี

ด้านเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา นายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีจีน ระบุว่า การเจรจาการค้าร่วมกับสหรัฐฯรอบที่ผ่านมา มีความคืบหน้าที่ดี และทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะดำเนินงานร่วมกันเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาของแต่ละฝ่าย โดยอยู่บนหลักของความเท่าเทียมและความเคารพต่อกัน และการหยุดยั้งสงครามการค้าเป็นเรื่องที่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่ายและทั่วโลก


· ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเหล่าเทรดเดอร์กำลังรอคอยความชัดเจนเกี่ยวกับประเด็น Brexit โดยดัชนี Stoxx600 เพิ่มขึ้น 0.2% ด้านหุ้นกลุ่มธนาคารและประกันภัยเพิ่มขึ้นมากกว่า 1% ขณะที่กลุ่มสุขภาพและของใช้ในครัวเรือนลดลง 0.4%

อ้างอิงจาก INNnews

- นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า หรือ สนค. กระทรวงพาณิชย์ของไทย เปิดเผยว่า การส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ถึงแม้ว่ายังคงขยายตัวติดลบแต่จากสถานการณ์การส่งออกที่หลายสินค้าโดยเฉพาะสินค้าใหม่ มีการขยายตัวได้ดีในหลายตลาดทำให้ในช่วงไตรมาสที่ 4 หากการส่งออกในแต่ละเดือนทำได้มูลค่าเดือนละ 21,800 ล้านเหรียญ การส่งออกจะเป็นบวกได้ ประมาณ 0.1% และจะมีผลต่อเนื่องไปจนถึงการส่งออกปีหน้า ซึ่งทางสนค. มั่นใจว่า การส่งออกจากขยายตัวเป็นบวกที่ประมาณร้อยละ 1-2 ภายใต้สมมติฐานที่ GDP ขยายตัวร้อยละ 2.7-3.2 ราคาน้ำมันดิบ ดูไบอยู่ที่ 60-70 เหรียญต่อบาร์เรลและอัตราแลกเปลี่ยนที่ 30.5-31.5 บาทต่อดอลลาร์

โดยสินค้าที่เป็นอนาคตและมีโอกาสขยายตัวได้ คือ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน สินค้าผลไม้ รถยนต์ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

อ้างอิงจากประชาชาติธุรกิจ

- นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การส่งออกไทยในเดือนก.ย. 62 มีมูลค่า 20,481 ล้านเหรียญ หดตัว 1.4% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 19,206 ล้านเหรียญ หดตัว 4.2% ส่งผลให้การค้าไทยเกินดุล 1,275 ล้านเหรียญ ส่วนการส่งออก 3 ไตรมาสแรก (ม.ค.-ก.ย. 62) มีมูลค่า 186,572 ล้านเหรียญ ลดลง 2.1% การนำเข้า มีมูลค่า 179,191 ล้านเหรียญ ลดลง 3.7% ทำให้ไทยมีการค้าเกินดุล 7,381 ล้านเหรียญ

ทั้งนี้ แม้การส่งออกไทยในเดือนก.ย. 62 จะลดลง แต่ภาพรวมการส่งออกของไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้น และมีแนวโน้มการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ทั้งปี 62 การส่งออกไทยอยู่ที่ติดลบ 1 ถึง 0.1% โดยหากจะให้การส่งออกไทยทั้งปี อยู่ที่ 0.1% การส่งออกจากนี้ 3 เดือนไทยจะต้องส่งออกเฉลี่ยต่อเดือน 20,821 ล้านเหรียญ ส่งการส่งออกในปี 63 ประเมินว่าการส่งออกทั้งปีอยู่ที่ 1-2% เนื่องจากแนวโน้ม ทิศทางการส่งออกและนโยบายผลักดันการส่งออกไทย


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com