• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 19 กันยายน 2562

    19 กันยายน 2562 | Economic News

 

· ผลประชุมเฟดเมื่อวานนี้มีการลงมติปรับลดดอกเบี้ยตามตลาดคาด โดยเฟดปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่กรอบ 1.75 – 2.00% แต่ภาพรวมเฟดให้สัญญาณเพียงเล็กน้อยต่อการปรับลดดอกเบี้ยครั้งต่อไป และสมาชิกเฟดดูจะเสียงแตกต่อสิ่งที่ต้องทำในครั้งต่อไป และการตัดสินใจของเฟดในครั้งนี้ดูจะกดดันให้หุ้นสหรัฐฯปรับตัวลงหลังทราบการตัดสินใจดังกล่าว


นอกจากนี้ เฟด ยังมีการปรับลดดอกเบี้ยสำหรับเงินสำรองส่วนเกิน (IOER) ลง 0.3% สู่ระดับ 1.8%



· ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวตำหนิเฟดอีกครั้งว่า เฟดเป็นพวกขี้ขลาด ไม่มีความฉลาด และไม่มีวิสัยทัศน์ หรือเรียกได้ว่าทรัมป์มองเฟดล้มเหลวในการดำเนินงานอีกครั้ง


· รายงานจาก CNBC ระบุว่า นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด กล่าวถึงการที่เฟดอาจกลับมาพิจารณาขนาดของยอดงบดุลหรือ Balance Sheet เร็วกว่าที่คาดการณ์เพื่อผ่อนคลายตลาดการเงิน โดยสัญญาณชี้นำต่อไป เฟดกำลังจับตาไปยังตลาดการเงินอย่างใกล้ชิดถึงความคืบหน้าและการประเมินถึงระดับที่เหมาะสมของการสำรอง เพื่อสร้างความสมดุลทางการขยายตัวด้วย Balance Sheet



· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นหลังจากที่เฟดตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% แต่ยังคงคาดการณ์การขยายตัวในอนาคต โดยดัชนีดอลลาร์ปิด +0.35% ที่ระดับ 98.60 จุด และไปทำระดับแข็งค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนหลังทราบการตัดสินใจของเฟด


ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.3% ที่ระดับ 1.1031 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่เฟดตัดสินใจปรับลดระดับดอกเบี้ย ควบคู่กับการปรับลดดอกเบี้ย IOER อีก 0.3% ที่ระดับ 1.8% ทำให้ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่เคยวางไว้


· บีโอจมีแนวโน้มที่จะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยและนโยบายในการประชุมวันนี้ เพื่อรักษาเครื่องมือทางเศรษฐกิจไว้ใช้สำหรับแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงไปมากนี้ ในอนาคต ขณะที่นักวิเคราะห์มีมุมมองว่า ทางบีโอเจน่าจะถ้อยแถลงเชิงพร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือการเติบโตของเศรษฐกิจหากจำเป็น จึงอาจทำให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นหลังการประชุม เนื่องจากธนาคารกลางอื่นๆต่างมีการผ่อนคลายนโยบายลงทั้งสิ้น


· หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์ประจำ CME Group มีความเห็นว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ควรยกเลิกการเจรจาหาข้อตกลงการค้ากับจีน ก่อนหน้าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2020 เนื่องจากปัจจัยทางเมือง โดยนายทรัมป์กำลังเผชิญแรงกดดันจากพรรคเดโมแครตที่ไม่ชอบจีน รวมถึงสมาชิกรีบพับลิกันบางส่วนที่สนับสนุนให้ทรัมป์วางท่าทีกดดันจีนต่อไป ดังนั้น หากนายทรัมป์ล้มเลิกการเจรจากับจีน เขาจะเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั้ง 2 ฝ่าย

ขณะที่ทางฝ่ายจีน หรือนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ก็กำลังเผชิญปัญหาคล้ายๆกันในรัฐบาลของเขา จีนจึงไม่สามารถอ่อนข้อให้กับสหรัฐฯได้ง่ายๆเช่นกัน ดังนั้นข้อตกลงการค้าก็น่าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยง่าย


ความพยายามที่จะกลับมาเจรจาการค้าของทั้งสองฝ่าย ณ ตอนนี้ ยังดูไม่มีความคืบหน้ามากนัก ในทางกลับกัน สถานการณ์ทางการค้ากลับยิ่งย่ำแย่ลง นับตั้งแต่ที่การขึ้นภาษีของสหรัฐฯมีผลบังคับใช้ไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา กล่าวถึงการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้าในกลุ่มผู้บริโภคจากจีนเป็นมูลค่า 1.12 แสนล้านเหรียญ และจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสหรัฐฯเป็นมูลค่า 7.5 หมื่นล้านเหรียญ

· J.P. Morgan ประเมินว่า การขึ้นภาษีรอบล่าสุดจะเพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับครอบครัวชาวอเมริกันปีละ 1,000 เหรียญ และจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลก โดยเมื่อในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ทาง IMF ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯปี 2019 ลงมาที่ 2.6% และปี 2020 ที่ 1.9%

· สำหรับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก IMF คาดการณ์ไว้ที่ 3.2% สำหรับปี 2019 ลดลงจากคาดการณ์เดิมในเดือน เม.ย. ที่ 3.3% โดยอ้างถึง “ความขัดแย้งทางการค้าและเทคโนโลยีที่กดดันความเชื่อมั่นและชะลอการลงทุนลง”ส่วนในปี 2020 คาดการณ์ไว้ที่ 2020

· รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า นายโดนัลด์ ทัสก์ ประธานสภาอียู และนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษมีกำหนดการจะหารือเรื่อง Brexit กัน ควบคู่กับวาระการประชุม U.N. ที่จัดขึ้น ณ กรุงนิวยอร์ก ในสัปดาห์หน้า

อย่างไรก็ดีทางอียูดูจะพยายามผลักดันข้อตกลง Brexit ฉบับใหม่กับนายจอห์นสัน โดยกล่าวเตือนว่าหากอังกฤษยังไม่มีข้อตกลงอาจเผชิญกับความเสียหายได้หลังจากแยกตัวออกไปในวันที่ 31 ต.ค. ขณะที่กลุ่มผู้นำอียูดูจะมีการเข้าพบกันว่าจะทำข้อตกลงหรือยุติข้อตกลงในการประชุมที่กรุงบรัสเซลล์ ใช่วง 2 สัปดาห์ก่อนถึงกำหนดที่อังกฤษจะออกจากอียู

· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีมีคำสั่งให้กระทรวงการคลังเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรให้มากขึ้นต่ออิหร่าน ในขณะที่ภาพหลักน้ำมันดิบถูกกดดันจากการที่ทางการซาอุดิอาระเบียเผยที่จะกลับมาฟื้นกำลังการผลิตน้ำมันได้ค่อนข้างเร็ว ประกอบกับข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเมื่อคืนนี้ออกมาเพิ่มขึ้นกว่าที่คาด



น้ำมันดิบ Brent ปิดลง 95 เซนต์ หรือ -1.5% ที่ระดับ 63.60 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 1.23 เหรียญ หรือ -2.1% ที่ระดับ 58.11 เหรียญ/บาร์เรล

EIA เผยรายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯในสัปดาห์ที่แล้วพุ่งขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเห็นสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯลดลง 2.5 ล้านบาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com