• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 16 กันยายน 2562

    16 กันยายน 2562 | Economic News


· ราคาน้ำมันดิบปิดร่วงลงวันศุกร์และทำให้ภาพรวมในสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์ที่ยังปรับตัวลงต่อ จากความกังวลต่อภาวะการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก แม้ว่าจะมีความคืบหน้าเรื่องข้อพิพาททางการค้าสหรัฐฯและจีน


น้ำมันดิบ Brent ปิด -0.2% ที่ระดับ 60.25 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิด -0.4% ที่ระดับ 54.85 เหรียญ/บาร์เรล โดยภาพรวมตลอดสัปดาห์น้ำมันดิบ Brent ปิด -1.8% ถือเป็นการปรับตัวลงเป็นสัปดาห์แรกในรอบ 5 สัปดาห์ ขณะที่ WTI ปิด -2.7% ซึ่งเป็นสัปดาห์แรกในรอบ 3 สัปดาห์ที่ราคาปิดปรับร่วงลง


· รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบปรับพุ่งขึ้นกว่า 15% ไปทำระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 เดือนในช่วงเปิดตลาดวันอาทิตย์ หลังมีเหตุโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของอิหร่านที่ดูจะฉุดให้อุปทานโลกลดลงอีก 5%


ทั้งนี้ น้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้นไปกว่า 19% ทำสูงสุดที่ 71.95 เหรียญ/บาร์เรล ในขณะที่น้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นไป 15% ทำสูงสุดที่ 63.34 เหรียญ/บาร์เรล โดยน้ำมันดิบทั้ง 2 ชนิดต่างก็ทำระดับสุงสุดตั้งแต่เดือนพ.ค.


อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบก็เป็นไปอย่างจำกัดหลังจากที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาจะใช้มาตรการ SPR หรือการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์หากจำเป็นเพื่อบรรเทาอุปทานน้ำมันดิบที่ตึงตัว และหากสหรัฐฯประกาศใช้มาตรการฉุกเฉิน SPDR จริง นักวิเคราะห์บางรายก็คาดว่าอาจไม่ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นอย่างที่คาดหวังไว้การโจมตีโรงกลั่นน้ำมันดิบ Saudi Aramco ซึ่งเป็นโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ของประเทศซาอุดิอาระเบียส่งผลให้มีการผลิตลดลง 5.7 ล้านบาร์เรล/วัน และ ณ ขณะนี้ Aramco ก็ดูจะยังไม่มีกำหนดเวลาในการกลับมาผลิตน้ำมันอีกครั้ง ซึ่งการจะกลับมาเปิดและผลิตน้ำมันอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้งอาจใช้เวลานานนับสัปาดห์


· รายงานข่าวจากรอยเตอร์ส ระบุว่า กลุ่มกบฎฮูติในเยเมนกล่าวถึงการโจมตีโรงกลั่นน้ำมันซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตน้ำมันรายใหญ่ของภาคอุตสาหกรรมน้ำมันในซาอุดิอาระเบียจำนวน 2 แห่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และนั่นส่งผลให้กำลังการผลิตของประเทศซาอุดิอาระเบียลดลงไปกว่ากว่าครึ่ง ขณะที่หลายฝ่ายคาดจะเห็นราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ประกอบกับความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ดูจะทวีความรุนแรงขึ้


การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้การผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบียต้องลดลงไป 5.7 ล้านบาร์เรล/วัน หรือลดไปกว่า 5% ของอุปทานน้ำมันทั่วโลก


อย่างไรก็ดี กลุ่มกบฎฮูติออกมากล่าวอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีดังกล่าว ขณะที่ นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯกล่าวตำหนิว่าเป็นการกระทำของอิหร่าน โดยระบุผ่านทางทวิตเตอร์ว่า ยังไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ว่าการโจมตีดังกล่าวมาจากเยเมน


· รายงานจาก CNBC ระบุว่า อิหร่านมีการปฏิเสธข้อกล่าวหาจากทางสหรัฐฯว่าอยู่เบื้องหลังโดรนโจมตี 2 โรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ของซาอุดิอาระเบีย โดยระบุว่าการกล่าวหาของรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯนั้นเป็นการให้ข่าวเท็จ


· รายงานจาก Wall Street Journal กล่าวว่า โรงกลั่นน้ำมันของซาอุดิอาระเบียน่าจะกลับมาเปิดทำการได้ในวันนี้ หลังจากที่ถูกโดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมัน 2 แห่งที่สำคัญไปเมื่อไม่นานนี้ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางส่วน ให้สัมภาษณ์ว่าเหตุโจมตีดังกล่าวมีโอกาสเห็นราคาน้ำมันดิบปรับพุ่งขึ้นไปได้ประมาณ 10 เหรียญ/บาร์เรล หรืออาจปรับขึ้นได้มากถึง 25% ในกลุ่มแก๊สโซลีน แต่ผลกระทบอาจเป็นวงแคบๆเท่านั้น ขึ้นอยู่กับวิธีการจัดการอย่างรวดเร็วเพียงใดของเจ้าหน้าที่ในการกลับมาเปิดทำการผลิตน้ำมันอีกครั้ง ซึ่งหากสามารถเปิดทำการได้ในช่วง 2-3 วัน ก็อาจมีการให้ข้อมูลภายใน 48 ชม. และผลกระทบต่อราคาน้ำมันจะอยู่เพียง 3-5 เหรียญเท่านั้น


อย่างไรก็ดี ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเหตุโจมตีดังกล่าวเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1990 เมื่อกองกำลังอิรักมีการโจมตีมิสไซน์ใส่เมืองหลวงของซาอุดิอาระเบีย ขณะที่การโจมตีล่าสุดกดดันให้หุ้นซาอุดิอาระเบียร่วงลงไป 2.3% ในช่วงเปิดตลาดวานนี้

· ข่าวล่าสุดจาก CNBC เผยว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่า สหรัฐฯ “บรรจุกระสุนพร้อมรบ” แล้ว หลังเกิดการโจมตีแหล่งเก็บน้ำมันในซาอุดิอาระเบีย แต่สหรัฐฯกำลังรอการยืนยันจากรัฐบาลซาอุฯว่าใครเป็นผู้เบื้องหลังเหตุการโจมตีก่อนที่จะลงมือ

· ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้นทำระดับสูงสุดรอบ 17 วันทำการเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ จากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีปรับตัวสูงขึ้นเพราะได้รับแรงหนุนจากกลุ่มนักลงทุนที่ตอบรับกับการที่อีซีบีประกาศกระตุ้นมาตรการทางเศรษฐกิจหลังจากที่มีการประกาศปรับลดดอกเบี้ยไปในการประชุมวันพฤหัสบดีที่แล้วด้วยสู่ระดับ -0.5% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และจะมีการเริ่มต้นเข้าซื้อพันธบัตรวงเงิน 2 หมื่นล้านยูโร/เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้

การกลับเข้ามาซื้อพันธบัตรใหม่ทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าเป็นการกำหนดขึ้นมาเพื่อเสริมสภาพคล่องระยะสั้นให้สอดคล้องกับการใช้อัตราดอกเบี้ยที่ติดลบมากขึ้น และตลาดก็ไม่คาดว่าจะเห็นอีซีบีปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ในเวลานี้ ขณะที่การเข้าซื้อพันธบัตรน่าจะใช้เวลาไปอีกเป็นปี ในขณะที่นางคริสติน ลาการ์ด กำลังจะก้าวเป็นประธานอีซีบีคนต่อไป


ค่าเงินยูโรปรับขึ้น 0.3% ที่ระดับ 1.1096 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ปรับขึ้นไปแตะระดับสูงสุดตั้งแต่ 27 ส.ค. บริเวณ 1.11095 ดอลลาร์/ยูโร ทางด้านผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีปรับขึ้นทำสูงสุดรอบ 6 สัปดาห์ที่ -0.48%


ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 98.050 จุด หลังจากไปทำระดับสูงสุดในสัปดาห์ที่แล้วบริเวณ 98.8 จุด


ค่าเงินหยวนแข็งค่ามากที่สุดรอบ 4 สัปดาห์ที่ 7.0330 หยวน/ดอลลาร์ จากทิศทางเชิงบวกของสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน


· ทางการจีนมีแผนจะเพิ่มการเข้าซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯเพิ่ม ประกอบไปด้วยถั่วเหลือง และนับตั้งแต่ที่มีการขึ้นภาษีสินค้ากันล่าสุดก็ดูเหมือนจะมีการผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างสองประเทศไปได้บางส่วนก่อนการเจรจากันในเดือนหน้า


รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวว่า จีนยินดีต่อการที่นายทรัมป์ ตัดสินใจเลื่อนการขึ้นภาษีสินค้าจีนออกไปอีก 2 สัปดาห์ ในขณะที่จีนก็จะงดเว้นการเก็บภาษีสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ อาทิ ถั่วเหลืองและเนื้อสัตว์ด้วยเช่นกัน

· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะทำการเข้าพบกับผู้นำอินเดียและออสเตรเลียในการประชุมที่รัฐเท็กซัสและรัฐโอไฮโอ เพื่อโปรโมทการค้าและการลงทุนในวันที่ 22 ก.ย. โดยกับทางการอินเดียนั้นจะหารือเรื่องความสัมพันธ์ทางการค้าและพลังงาน ในขณะที่กับผู้นำออสเตรเลียจะเป็นการหารือถึงภาคการผลิต

· เจ้าหน้าที่จาก IMF ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ส โดยระบุว่า ภาวะตึงเครียดทางการค้าที่กำลังกดดันภาวะเศรษฐกิจไปทั่วทุกมุมโลกนั้นยังคงอยู่ห่างไกลจากคาดการณ์ที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกก้าวสู่ภาวะถดถอย ซึ่งทาง IMF เองก็เตรียมจะเปิดเผยข้อมูลคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจครั้งใหม่ในเดือนหน้า

อย่างไรก็ดี ผลกระทบจาก Trade War น่าจะส่งผลต่อสหรัฐฯและจีนทำให้ผลผลิตทางเศรษฐกิจโลกในปีหน้าร่วงลงประมาณ 0.8% แต่จากภาพรวมก็ยังไม่เห็นว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยจากการประเมินสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน และเราเชื่อว่ายังคงอยู่ห่างไกลจากจุดนั้น

· นักวิเคราะห์จากสถาบัน Peterson Institute มีมุมมองว่า การประชุมเฟดสัปดาห์นี้ จะมีการโต้เถียงกันภายในที่ประชุมถึงความย่ำแย่ของภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทางเฟดควรที่จะคงนโยบายหรือดำเนินการผ่อนคลายนโยบายลงอย่างรวดเร็วมากขึ้นเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตต่อไปได้

ทั้งนี้ ตลาดคาดการณ์กันอย่างหนาแน่นว่าจะเห็นเฟดปรับลดดอกเบี้ยหลังการประชุมสัปดาห์นี้ รวมถึงจะจับตาคาดการณ์เศรษฐกิจของเฟด เพื่อดูว่าภาวะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการใช้นโยลบายผ่อนคลายทางการเงินของอีซีบี และสัญญาณความอ่อนแอของภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯมากแค่ไหนในมุมมองของเฟด

· S&P Global Ratings กล่าวว่า เศรษฐกิจเม็กซิโกจะเติบโตได้ดีขึ้นจาก 1.5% สู่ระดับ 2.5% อันเป็นผลจากรัฐบาลเม็กซิโกในร่างงาบประมาณประจำปี 2020 ที่ดูจะมีการลดเป้าเกินดุล และสร้างสมดุลครั้งใหญ่เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

· บรรดารัฐมนตรีการคลังแห่งสหภาพยุโรป ให้ความเห็นชอบกับนโยบายที่จะเข้ามาปรับปรุงระบบการเงินในอียูให้มีความโปร่งใสและคาดการณ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่ร่างนโยบายดังกล่าวยังต้องเวลาในการปรับปรุงจนกว่าจะสามารถผลักดันให้ใช้งานได้จริง


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com