เฟดกำลังเผชิญกับการไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ในช่วงที่ข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ ประกอบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ดูจะใกล้ระดับที่เฟดอาจต้องปรับมาใช้นโยบายปรับลดดอกเบี้ยมากกว่า
โดยจะเห็นได้ว่า Yield Curve ของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุระหว่าง 2 ปี และ 5 ปี มีการเคลื่อนไหวสวนทางกัน และดูเหมือนภาวะผกผันที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้เฟดเลือกปรับลดดอกเบี้ยเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนระยะสั้นอายุ 3 เดือนยังคงปรับขึ้นเหนืออัตราผลตอบแทนระยะยาวอายุ 10 ปี ซึ่งถือเป็นภาพรวมเชิงลบครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี และถือเป็นสัญญาณเตือนที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจเผชิญกับภาวะถดถอยในอีก 1-2 ปีข้างหน้านี้
ณ ปัจจุบันนี้ยังไม่มีความชัดเจนในประเด็นข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ประกอบกับกรณี Brexit ที่ดูจะเป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
สำหรับภาพการจ้างงานที่ออกมาแย่ก็ดูจะส่งผลต่อการตัดสินใจของเฟด ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่เพิ่มขึ้นก็ดูจะสร้างโอกาสให้เฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อมากกว่า
นักกลยุทธ์จาก Morgan Stanley ระบุว่า เฟดมีการปรับลดดอกเบี้ยมาแล้วในช่วงที่เศรษฐกิจประสบภาวะถดถอยในช่วง 3 ครั้ง หลังจากที่ปรับดอกเบี้ยได้ตรงตามเป้าในปี 1982 และมองว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไปอีก 0.25% ในเดือนธ.ค. และยังไม่ปรับลด ขณะที่ตลาดส่วนใหญ่เริ่มมองโอกาสที่มากขึ้นว่าจะเห็นเฟดปรับลดดอกเบี้ยในปี 2019 หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงชะลอตัวต่อในอีกไม่กี่เดือนจากนี้
นักกลยุทธ์จาก MUFG Securities Americas เชื่อว่า เฟดน่าจะทำการปรับลดดอกเบี้ยในช่วงเดือนก.ย. และเฟดเองน่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. เนื่องจากเป็นการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด (Mistake) เมื่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจอ่อนตัว
เครื่องมือ Fed Fund Rate ของ CME Group เผยว่า ปัจจุบันมีโอกาส 60% ที่จะเห็นเฟดปรับลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.
ที่มา: Kitco