• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 11 ธันวาคม 2561

    11 ธันวาคม 2561 | Economic News
• ค่าเงินปอนด์ยังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 20 ปีเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาณ์ หลังจากที่นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษประกาศเลื่อนการลงมติข้อตกลง Brexit ที่มีกำหนดการในวันนี้ เพื่อที่เธอจะไปหารายละเอียดเพิ่มเติม จึงยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้แก่การที่อังกฤษจะออกจากอียูโดยปราศจากข้อตกลง หรืออาจจะหาข้อตกลงได้ในเสี้ยวนาทีสุดท้าย หรืออาจจะก่อให้เกิดการลงประชามติอีกครั้ง

ค่าเงินปอนด์วันนี้ขยับขึ้นมาเพียง 0.15% ที่ 1.2578 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากร่วงลงไป 1.3% เมื่อคืนวันจันทร์ ทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่เม.ย. ปี 2017 ที่ 1.2507 ดอลลาร์/ปอนด์

ความผันผวนของค่าเงินปอนด์ได้หนุนให้ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นจากระดับอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วยนใหญ่ ประกอบกับดอลลาร์ถูกกดันจากกระแสที่ว่าเฟดจะชะลอโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยปีหน้า

ดัชนีดอลลาร์วันนี้อ่อนค่าลงเล็กน้อย 0.13% ที่ 97.092 จุด หลังจากที่เมื่อวานขยับขึ้นไป 0.75% จากระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 22 พ.ย. ที่ระดับ 96.364 จุด

นักกลยุทธ์ค่าเงินจาก IG Securities กล่าวว่า การร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอาจทำให้ดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าลงได้ แต่ไม่ใช่ในสภาวะตอนนี้ เนื่องจากยังไม่มีอุปสงค์ที่เพียงพอที่กลับเข้าหาค่าเงินเยนซึ่งถูกใช้เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในขณะที่เกิดความกังวลต่อภาวะการเมืองในยุโรป และค่าเงินปอดน์ที่ร่วงลงหนักจากปัญหาของ Brexit

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯร่วงลงทำระดับต่ำสุดรอบ 3 เดือนในสัปดาห์นี้ จากถ้อยแถลงเชิงผ่อนคลายทางการเงินของเฟดและข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐฯที่อาจไปชะลอแนวทางการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดได้

ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยที่ 1.1367 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่อ่อนค่าลงไป 0.2% ในคืนวันจันทร์

• อ้างอิงรายงานจากที่ปรึกษาด้านการควบคุมความเสี่ยง กล่าวว่า รัฐบาลในสหรัฐฯ, ยุโรป และจีน มีการดำเนินงานที่ค่อนข้างแตกต่างกัน และอาจส่งผลลบต่อภาคธุรกิจได้ในปีหน้า

ทั้งนี้ ในจีนนั้นค่อนข้างมีความเป็นไปได้ที่จะเดินหน้าทางการเมืองอย่างเต็มรูปแบบเพื่อปกป้องและดูแลผลประโยชน์ภายในประเทศ โดยที่ภาคเอกชนถือเป็นความสำคัญระดับสูงที่ต้องถูกปกป้อง ขณะที่ในยุโรปนั้น ภาคเอกชนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้อได้รับการปกป้องดูแลผลประโยชน์ อันนำมาซึ่งข้อกฎหมายฉบับใหม่ที่เรียกว่า

General Data Protection Regulation หรือ GDPR

ขณะเดียวกันในสหรัฐฯนั้น ดูเหมือนจะพิจารณาจากการทำธุรกิจที่เน้นผลกำไรเป็นหลัก แต่ก็เกิดคำถามตามมาหลังรายงานผลประกอบการบริษัทนั้นปรับตัวลงมา

อย่างไรก็ดี ความแตกต่างที่เกิดขึ้นนั้น อาจนำไปสู่ช่วงเวลาที่ยากลำบากของภาคธุรกิจในการเก็บเกี่ยว, คลังสินค้า และการขนย้ายข้อมูลภายใน 3 ประเทศข้างต้น ขณะที่บริษัทบางแห่งมีแนวโน้มจะเกิดการแข่งขันกันสูงในปีหน้

• นางเมิ่ง หวั่นโจว ประธานฝ่ายการเงิน (CFO) บริษัท หัวเว่ย ถูกตำรวจแตนาดาจับกุมเมื่อวันที่ 1 ธค.ที่ผ่านมา ในข้อหาละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯ และรอศาลแคนาดาตัดสินว่า จะให้ประกันตัวหรือไม่

ทั้งนี้ ผู้พิพากษาแคนาดามีความสงสัยเกี่ยวกับสามีของเมิ่ง หวั่นโจวที่เป็นผู้ค้ำประกันว่าจะไม่หลบหนีได้หรื่อไม่ เนื่องจากเขาไม่ได้พักอาศัยอยู่ในบริติช โคลัมเบีย

• แหล่งข่าววงในทำเนียบข่าวกล่าวกับสำนักข่าว CNN ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงความกังวล 2 ประเด็น โดยประเด็นแรกคือ การที่พรรคเดโมแครตจะเข้ามาครองเสียงข้างมากในฝั่งสภาผู้แทนราษฎร

และประเด็นที่สองคือ เขาอาจจะถูกตรวจสอบในกรณีการจ่ายเงินค่าปิดปาก 130,000 เหรียญ ให้กับสตรีสองคนผ่านทางทนายความส่วนตัว นายไมเคิล โคเอน เพื่อไม่ให้ปริปากพูดถึงความสัมพันธ์ลับๆกับเขา ก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ เมื่อ 2 ปีก่อน

• นายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีของจีน ได้โทรศัพท์หารือกับนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เพื่อหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ โดยเป็นข้อเรียกร้องของทั้งสองฝ่าย และติดตามความคืบหน้ารวมถึงเจรจาในขั้นตอนต่อๆไปเพื่อลดความขัดแย้ง และเพื่อหารือถึง Road Map สำหรับปีหน้าในทิศทางการเจรจาทางการค้า

ขณะที่่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายไลท์ไธเซอร์ ระบุว่า หากสหรัฐฯ-จีนไม่สามารถเจรจากันได้ภายในวันที่ 1 มี.ค.นี้ ก็อาจมีการประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าฉบับใหม่ จึงเป็นการตอกย้ำว่ายังคงมีความยากหลังจากที่นายทรัมป์ และทีมที่ปรึกษาของนายทรัมป์ยังคงมีความไม่แน่นอนทางด้านการเจรจา

• ตลาดน้ำมันดิบพยายามที่จะฟื้นตัวเข้าสู่แนวโน้มทิศทางขาขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงถูกกดดัน รวมทั้งยังคงกังวลเกี่ยวกับปริมาณความต้องการที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงอ่อนแอหลังจากเกิดภาวะ risk-off ที่ส่งผลกระทบต่อการร่วงลงเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางแผนการปรับลดกำลังการผลิตลง 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน ของกลุ่มโอเปกที่จะเริ่มต้นในเดือนม.ค.ปีหน้า

• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่บริษัทน้ำมันในลิเบียประกาศปิดบ่อน้ำมันชาราราโดยกลุ่มผู้ประท้วง พร้อมกับเรียกร้องเงื่อนไขต่างๆ เช่น การสร้างเมืองขึ้นมาใหม่หลังจากที่ได้รับความเสียหายจากเหตุขัดแย้ง รวมทั้งจัดหาสภาพคล่องให้กับธนาคารในท้องถิ่น

โดยภาพรวมความเชื่อมั่นของราคาน้ำมันดิบยังคงอ่อนแอ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับตลาดหุ้นทั่วโลกและการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกที่อาจจะไม่เพียงพอต่ออุปทานในตลาด

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 9 เซนต์ ที่ระดับ 60.06 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 2 เซนต์ ที่ระดับ 51.02 เหรียญ/บาร์เรล


Related
บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com