• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561

    13 พฤศจิกายน 2561 | Economic News

• ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่ามากที่สุดรอบ 16 เดือน ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่มีการตอบรับกับคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อในเดือนหน้า ขณะที่ความเสี่ยงทางการเมืองในยุโรปกำลังกดดันค่าเงินยูโรและปอนด์

ความกังวลเกี่ยวกับ Brexit ที่ปราศจากข้อตกลง และปัญหางบประมาณอิตาลีในยุโรปนั้นถือเป็นอีกปัจจัยหลักที่หนุนดอลลาร์ในตอนนี้ ขณะที่การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯที่ผ่านมาไม่ได้มีแนวโน้มจะมีการเพิ่มมาตรการทางการเงินใดๆ จึงทำให้เห็นแรงเทขายออกมาบ้างในสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนที่ดอลลาร์จะกลับมาแข็งค่าหลังเฟดมีสัญญาณจะขึ้นดอกเบี้ยต่อจากทิศทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ตามที่คาด

รายงานจาก CFTC ระบุว่า มีการถือครองสถานะ Long ในดอลลาร์เมื่อเทียบกับค่าเงินในสกุล G10 ในสัปดาห์ที่แล้วแตะระดับมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2015 ที่ 3.04 หมื่นล้านเหรียญ

ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.64% ที่ระดับ 97.527 จุด หลังจากที่เมื่อวานนี้ปรับขึ้นไปทำระดับแข็งค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ มิ.ย. ปี 2017 ที่บริเวณ 97.578 จุด ขณะที่การแข็งค่าของดัชนีดอลลาร์ถูกจำกัดจากแรงขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยดัชนี S&P 500 ร่วงลง 1.21% ท่ามกลางการซื้อขายที่เป็นไปอย่างเบาบางเนื่องในวันหยุดทหารผ่านศึกของสหรัฐฯ

• ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงจากความไม่แน่ใจในตัวของนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษที่เพิ่มมากขึ้นว่าจะได้รับแรงหนุนจากพรรคของเธอเองและอียูในการบรรลุข้อตกลง Brexit หรือไม่ เพราะเหลือเวลาเพียง 5 เดือน ก่อนที่อังกฤษจะออกจากอียูอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 มี.ค. ปีหน้า แต่การเจรจาก็ยังดูจะมีอุปสรรคและตกลงกันได้ยากเรื่องบริเวณกฎพรมแดนไอร์แลนด์ของอังกฤษ ขณะที่อียูมองว่าไอร์แลนด์เป็นสมาชิกของอียู จึงกดดันให้เงินปอนด์ปิดอ่อนตัวลงมา 0.98% ที่ระดับ 1.2852 ดอลลาร์/ปอนด์

• ขณะที่ยูโรถูกกดดันต่อจากความกังวลเรื่องงบประมาณอิตาลีที่ดูตึงเครียดกับทางคณะกรรมาธิการอียูมากขึ้น รวมทั้งการอ่อนตัวของภาคธนาคารในอิตาลี

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.82% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ลงไปทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่มิ.ย. 2017 ที่ระดับ 1.124 ดอลลาร์/ยูโร

• นางแมรี่ ดาลี่ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ และการจ้างงานที่แข็งแกร่ง รวมทั้งเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มจะปรับขึ้นเหนือระดับเป้าหมาย 2% ในปีหน้า ดูจะยังทำให้เฟดเลือกขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ต่อ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นการขึ้นแค่เดือนหน้าเท่านั้น โดยเธอคาดหวังว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีกจำนวน 2-3 ครั้งในปีหน้า

นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เผชิญกับเสียงต่อต้านจากทุกๆฝ่าย เนื่องจากความไม่เชื่อมั่นในตัวเธอว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับอียูภายใต้การเจรจา Brexit ได้ ก่อนที่อังกฤษจะถอนตัวออกจากอียูอย่างเป็นทางการในเดือน มี.ค. ปี 2019

ท่ามกลางสัญญาณที่การเจรจาอาจประสบความล้มเหลว ทางอียูได้เรียกร้องให้อังกฤษแสดงความชัดเจนภายในวันพุธนี้ ก่อนที่จะสามารถสามารถตัดสินใจได้ว่าการเจรจาจะมีต่อไปหรือไม่

ทางพรรคฝ่ายค้านในรัฐสภาอังกฤษได้ระบุว่า พวกเขาจะเรียกร้องให้รัฐสภาพิจารณาจัดการลงมติภายในวันอังคารนี้ เพื่อขอความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้านชายแดนระหว่างอังกฤษและไอร์แลนด์ ที่เป็นประเด็นยืดเยื้อในการเจรจา Brexit กับอียู

• ผลสำรวจจาก Reuters พบว่า บรรดาผู้ประกอบและองค์กรขนาดกลางในประเทศอังกฤษคาดการณ์ว่าค่าเงินปอนด์มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงอย่างมากหลังจากอังกฤษถอนตัวออกจากอียูในเดือน มี.ค. ปี 2019

ทั้งนี้ ผลสำรวจไม่ได้คาดการณ์เป็นตัวเลขที่ชัดเจนที่ค่าเงินปอนด์จะอ่อนค่าลงเท่าไหร่เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ยูโร และค่าเงินอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจของ Reuters ที่ทำโดยบรรดานักวิเคราะห์ในช่วงสิ้นเดือน ต.ค. ได้คาดการณ์ไว้ว่าค่าเงินปอนด์มีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นมาบริเวณ 1.34 ดอลลาร์/ปอนด์ ในช่วงปลายเดือน เม.ย. ซึ่งเป็นเวลา 1 เดือนหลังจาก Brexit จากระดับปัจจุบันที่บริเวณ 1.29 ดอลลาร์/ปอนด์ หากอังกฤษและอียูสามารถบรรลุการเจรจาได้ แต่หากไม่สามารถบรรลุการเจรจาwfh ค่าเงินปอนด์จะมีโอกาสอ่อนค่าลงไปบริเวณ 1.20 ดอลลาร์/ปอนด์

• กองกำลังปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าได้เปิดการโจมตีใส่กองกำลังอิสราเอลทางตอนใต้ด้วยขีปนาวุธและปืนครก เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ภายหลังจากการบุกรุกของอิสราเอลที่ทำให้เกิดการสู้รบภายในพื้นที่เมื่อวานซืนนี้

ทั้งนี้ ความเสียหายที่ทางกองกำลังปาเลสไตน์ได้รับ คือพลปืนเสียชีวิตจำนวน 3 นาย รวมถึงสถานีโทรทัศน์อัล-อักษะ (Al-Aqsa) ที่ถูกทำลายโดยเครื่องบินรบ

ขณะที่ความเสียที่เกิดขึ้นกับฝั่งอิสราเอล คือรถบัสถูกทำลายโดยขีปนาวุธ ทหารได้รับบาดเจ็บ 1 นาย และบ้านเรือนของประชาชนที่ถูกลูกหลง ส่วนประชาชนสามารถหลบหนีเข้าที่กำบังได้ก่อน

• ราคาน้ำมันดิบปิดปรับลงติดต่อกัน 11 วันทำการซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับแรงกดดันจากการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คาดหวังว่า จะไม่เกิดการลดกำลังการผลิตน้ำมันใดๆ

ซึ่งถ้อยแถลงของนายทรัมป์ มีขึ้นหลังจากที่กระทรวงน้ำมันดิบของซาอุดิอาระเบีย กล่าวว่า กลุ่มโอเปกกำลังพิจารณาปรับลดอุปทานน้ำมันในปีหน้า ท่ามกลางอุปสงค์น้ำมันที่อ่อนตัว เนื่องจากกังวลว่าการที่สหรัฐฯจะถอนมาตรการคว่ำบาตรดูจะช้ากว่าที่คาด

น้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 26 เซนต์ ที่ระดับ 59.93 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นการปิดปรับตัวลงติดต่อกัน 11 วันทำการ ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดลง 6 เซนต์ ที่ระดับ 70.12 เหรียญ/บาร์เรล

• สำนักงานพลังงานสากล หรือ IEA คาดการณ์ว่า การพัฒนาของเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าและระบบประหยัดพลังงาน จะทำให้ปริมาณอุปสงค์ในน้ำมันสำหรับการคมนาคมลดลงไปมากกว่าคาดการณ์เดิมในปี 2040 และตลาดโลกอาจเผชิญภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัวหากไม่มีปริมาณการลงทุนเข้ามาในภาคการผลิตมากพอ

ทั้งนี้ IEA คาดการณ์ว่าอุปสงค์ในน้ำมันจะขยายตัวสู่ระดับ 1 ล้านบาร์เรล/วันโดยเฉลี่ยภายในปี 2025 ก่อนที่จะปรับลดลงมาทรงตัวบริเวณ 250,000 บาร์เรล/วัน จนถึงปี 2040 ซึ่งปริมาณอุปสงค์น่าจะขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 106.3 ล้านบาร์เรล/วัน ในช่วงปีดังกล่าว

Related
บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com