• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 18 กรกฎาคม 2561

    18 กรกฎาคม 2561 | Economic News
·         ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นไปทำระดับสูงสุดรอบ 6 เดือนเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน หลังจากที่นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด ได้ส่งสัญญาณเชิงบวกต่อมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ และแนวทางที่เฟดจะยังคงเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อไป

ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นมาแถว 95.038 จุด ขณะที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าขึ้น 0.05% ที่ระดับ 112.955 เยน/ดอลลาร์ หลังจากที่ขึ้นไปทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 9 ม.ค. บริเวณ 113.08 เยนดอลลาร์

ทางด้านค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงอีก 0.05%  แถว 1.1653 ดอลลาร์ยูโร หลังจากที่ร่วงไป 0.4%   เมื่อคืนนี้

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 สัปดาห์นี้ทรงตัวขึ้นแม้จะอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดรอบ 7 ปี เหนือระดับ 3%   ที่ทำไว้ในเดือนพ.ค. ขณะที่ผลตอบแทนระยะสั้นอายุ 2 ปี อ่อนไหวตามมุมมองนโยบายการเงินของเฟด จึงเห็นว่ายังคงทำ High ในรอบกว่าทศวรรษ

ผลดังกล่าวส่งผลให้อัตรา Yield Curve อยู่ในภาวะ Flattest รอบ 11 ปี และมีการปิดอย่างผกผัน ผ่านปรากฎการณ์ที่อัตราผลตอบแทนระยะสั้นอายุ 2 ปี ปรับตัวสูงกว่าระยะยาวอายุ 10 ปี

·         Rob Subbaraman และ Michael Loo นักวิเคราะห์จากสถาบัน Nomura ประเมินว่า คะแนนความนิยมของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังตกต่ำลงมีความเกี่ยวข้องกับนโยบายเชิงกีดกันทางการค้าแบบสุดโต่งของเขา

การที่นายทรัมป์ต้องการกดดันการค้ากับประเทศจีน เนื่องจากข้อมูลทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯบ่งชี้ว่า สหรัฐฯมียอดขาดดุลทางการค้ากับจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดวาระของเขา เขาจึงออกนโยบายขึ้นภาษีจากจีนเพื่อเรียกเสียงสนับสนุนจากกลุ่มผู้สนับสนุนหลักๆ

·         นักวิจัยประจำกระทรวงการคลังแห่งประเทศจีน แนะนำให้รัฐบาลจีนคอยควบคุมการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการค้าแบบค่อยเป็นค่อยไป มากกว่าที่จะออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในเชิงบังคับ ขณะที่รัฐบาลจีนที่กำลังถกเถียงกันเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อป้องกันหรือลดความรุนแรงจากความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ

·         รายงานนักเศรษฐศาสตร์ฉบับใหม่ของอีซีบี แสดงให้เห็นว่า วงเงินการเข้าซื้อพันธบัตรของอีซีบีจำนวน 2.6 ล้านล้านเหรียญ อาจก่อให้เกิดการเหลื่อมล้ำของรายได้ ซึ่งการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากเกินไปดูจะส่งผลแก่ภาคครัวเรือนที่มีฐานะร่ำรวย

ถึงแม้ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยเพิ่มการจ้างงาน และเอื้อประโยชน์ให้แก่ภาคครัวเรือน แต่กลุ่มคนมีฐานะยากจน 20% กลับถูกบีบในเรื่องการกระจายรายได้ และภาวะชั่วคราวจากช่องว่างที่ค่อนข้างกว้างระหว่างคนรวยกับคนจน แต่บางฝ่ายก็แย้งว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับอีซีบีต้องพิจารณา

อย่างไรก็ดี การเข้าซื้อพันธบัตรดูจะส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้คนมีฐานะร่ำรายเพียงเล็กน้อย รวมทั้งมีผลกระทบไม่มากนักเมื่อเทียบกับแนวโน้มของความไม่สมดุลที่เพิ่มขึ้นในข้อมูลย้อนหลัง

·         คณะกรรมการประจำธนาคารกลางเกาหลีใต้ ระบุว่า ธนาคารกลางควรจับตาความสมดุลของเศรษฐกิจและกระแสเงินทุนภายในประเทศอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของเกาหลีใต้เมื่อเปรียบเทียบกับของสหรัฐฯมีระยะห่างที่มากขึ้นในปัจจุบัน จึงอาจทำให้เกิดกระแสเงินทุนไหลออกจากประเทศได้

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.75 – 2.00% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของเกาหลีใต้อยู่ที่ 1.5%

·         กระทรวงการคลังแห่งเกาหลีใต้ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้สู่ระดับ 2.9% จากเดิมที่ 3% คาดการณ์ไว้เมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ท่ามกลางแรงกดดันจากตลาดแรงงานที่อ่อนแอ และความขัดแย้งทางการค้าที่ตึงเครียดยิ่งขึ้น

·         รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งประเทศจีน ได้กล่าวว่า ภาวะ Trade war ระหว่างสหรัฐฯ ได้การเป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ และเชื่อมั่นว่านานาประเทศจะมีการต่อต้านสหรัฐฯแน่นอน หากสหรัฐฯยังคงยืนยันที่จะปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าต่อไป

·         นักเศรษฐศาสตร์จาก Barclays กล่าวว่า จากถ้อยแถลงของประธานเฟด ทำให้มองโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดปีนี้น่าจะขึ้นได้อีก 2 ครั้ง โดยน่าจะเกิดขึ้นในเดือนก.ย. และธ.ค. ขณะที่ความเสี่ยงหลักอยู่ที่ภาคนิติบุคคลบริษัท และตลาดการเงินที่ดูจะได้รับผลจากการเปิดศึกทางการค้าด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่แพงขึ้น และนั่นจะส่งผลลดความเชื่อมั่นในตลาด การจ้างงานชะลอตัวลง รวมทั้งส่งผลให้หุ้นเกิดการปรับฐาน

·         ผลสำรวจผู้จัดการกองทุนจาก BofA Merrill Lynch แสดงให้เห็นว่า Trade War ยังคงเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ไม่น้อยกว่า 60% ของความคิดในกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจ

·         นายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) กล่าวเตือนว่า การปราศจากข้อตกลง Brexit อาจเป็นปัญหาใหญ่ต่อเศรษฐกิจอังกฤษตามลำดับและอาจทำให้เขาต้องมีการปรับแผนในเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ค่าเงินปอนด์ทรงตัวแถว 1.3090 ดอลลาร์ปอนด์ หลังจากที่เมื่อวานนี้ปรับอ่อนค่าลงมา 0.9%

·         หัวหน้าหน่วยงานทางด้านพลังงานนิวเคลียร์ของรัฐบาลอิหร่านเปิดเผยว่า ได้มีการก่อสร้างโรงงานสำหรับเครื่องปั่นแยกสสารที่มีกำลังการผลิตเท่ากับเครื่องปั่นแยกสสารจำนวน 60 เครื่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตพลังงานนิวเคลียร์ จึงอาจนำไปสู่ความขัดแย้งกับสหรัฐฯเกี่ยวกับการผลิตพลังงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน

·         ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง หลังจากข่าวการเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับปริมาณความต้องการที่อ่อนแอยังคงกดดันราคาอยู่

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 0.6% ท่ระดับ 71.73 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลง 0.7% ที่บริเวณ 67.58 เหรียญ/บาร์เรล

·         ราคาน้ำมัน WTI ถูกกดดันลงมาต่ำบริเวณ 68.00 อีกครั้งในคืนที่ผ่านมา หลังปริมาณน้ำมันสหรัฐฯเพิ่มสูงขึ้นผิดคาด

เนื่องจากราคาร่วงลงต่ำกว่าบริเวณ 67.90 ขณะที่ยังมีอแรงหนุนในทิศทางขาขึ้น จึงคาดว่าราคาอาจมีโอกาสรีบาวน์ได้แถวระดับ 66.00 หรือหากหลุดลงมาก็จะเจอกับแนว 63.50 ที่เป็นระดับต่ำสุดของเดือน มิ.ย. เป็นแนวรับที่แข็งแกร่งคอยป้องกันไม่ให้ร่วงลงมาต่ำกว่านั้นอยู่ ส่วนแนวต้านขยับลงมาอยู่ที่ระดับ 69.25 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดก่อนที่จะถูกแรงเทขายลงมา สำหรับระดับสูงสุดของปี 2018 ยังคงอยู่ที่ 75.35
Related
บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com