• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 16 กรกฎาคม 2561

    16 กรกฎาคม 2561 | Economic News

• ค่าเงินดอลลาร์ปิดอ่อนค่าลงในคืนวันศุกร์ หลังจากที่ขึ้นไปทำระดับสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์ จากข่าวที่ว่ายอดเกินดุลการค้าของจีนพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จึงอาจยิ่งเพิ่มแรงตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และประเด็นดังกล่าวได้ทำให้นักลงทุนถือครองดอลลาร์ในฐานะ Safe-Haven อีกครั้ง โดยดัชนีดอลลาร์ปิดอ่อนลงมาเล็กน้อย 0.07% ที่ระดับ 94.74 จุด หลังจากที่ขึ้นไปทำระดับสูสุดนับตั้งแต่ 29 มิ.ย. บริเวณ 95.241 จุด

ทางด้านค่าเงินเยนกลับแข็งค่าอีกครั้งหลังจากที่ไปทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 6 เดือนบริเวณ 112.79 เยน/ดอลลาร์ ก่อนที่จะแข็งค่ากลับลงมาที่ 112.3 เยน/ดอลลาร์ สำหรับค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงไปทำระดับต่ำสุดรอบ 9 วันทำการบริเวณ 1.1610 ดอลลาร์/ยูโร ก่อนที่ช่วงปลายตลาดจะปิดปรับขึ้นมาบริเวณ 1.1680 ดอลลาร์/ยูโร

ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง 0.5% ไปทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดบริเวณ 6.7250 หยวน/ดอลลาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับระดับอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 11 เดือนที่ไปทำไว้เมื่อ 3 ก.ค.บริเวณ 6.7326 หยวน/ดอลลาร์ และถึงแม้จะเห็นค่าเงินดอลลาร์มีการปรับอ่อนค่าแต่แนวโน้มหลักก็ดูเหมือนจะยังเป็นทิศทางที่แข็งค่า

• เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ประธานเฟดยังแสดงความเชื่อมั่นต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่โครงการปรับลดภาษีและค่าใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯมีแนวโน้มจะช่วยหนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อีกประมาณ 3 ปี อย่างไรก็ดี ตลาดจับตามายังวันอังคารและวันพุธนี้ ที่น่าจะกล่าวรายงานต่อทิศทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและเฟดจะยังแนวทางการขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป

• นายโรเบิร์ต เคพแลนด์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส กล่าวว่า ความตึงเครียดทางการค้าของสหรัฐฯจากการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอาจบั่นทอนแนวโน้มการขายตัวทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งเขากำลังกังวลต่อภาวะโลจิสติกส์, ห่วงโซ่อุปทาน และภาคอุตสาหกรรมที่น่าจะได้รับผลกระทบเป็นหลัก และภาคอุตสาหกรรมนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับภาพรวมทางเศรษฐกิจที่เราต้องเฝ้าจับตาและให้ความระมัดระวังอย่างมาก

• สำหรับประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยนั้น นายเคพแลนด์ ระบุว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้จำนวน 3 ครั้งหรือ 4 ครั้งในปีนี้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ขณะที่จีดีพีปีนี้ค่อนข้างจะแข็งแกร่ง แต่ปี 2019 และ 2020 ดูจะมีการอ่อนตัวได้บ้าง หรือขยายตัวเพิ่มในปี 2020 หรือ 2021 อีกครั้ง

• รายงานจาก Reuters ระบุว่า ยอดเกินดุลการค้าของจีนที่มีกับสหรัฐฯขยายตัวมากยิ่งขึ้นในเดือน มิ.ย. จึงอาจกลายเป็นปัจจัยกดดันความขัดแย้งระหว่างทั้ง 2 ประเทศให้เลงร้ายลง โดยยอดเกินดุลการค้าของจีนที่มีกับสหรัฐฯขยายตัวสู่ระดับ 2.897 หมื่นล้านเหรียญ จากเดิมในเดือน พ.ค. ที่ 2.458 หมื่นล้านเหรียญ

• คาดการณ์จีดีพีจีนไตรมาส 2 ที่จะประกาศในวันนี้นั้น ถูกคาดว่าจะชะลอตัวลง ท่ามกลางรัฐบาลที่เผชิญความเสี่ยงจากระดับหนี้และกิจกรรมทางการค้า รวมทั้ง Trade War กับสหรัฐฯที่เข้าคุกคามภาคการส่งออก

• ตัวแทนจากสหภาพยุโรปและจีน จะมีการประชุมร่วมกันขึ้นภายในวันนี้ ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่งการประชุมครั้งนี้ถูกคาดหวังว่าจะเป็นการสานสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างยุโรปและจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการตอบโต้นโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ หลังจากที่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้อย่างชัดเจนในการประชุมเมื่อปี 2016 และ 2017 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ที่จะเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความสำคัญอย่างมากจากทั้ง 2 ฝ่าย ได้แก่ นายหลี เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน, นายโดนัลด์ ทัคส์ คณะกรรมาธิการแห่งสหภาพยุโรป และนายฌ็อง-โคลด จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการแห่งสหภาพยุโรป

• ประธานธนาคารกลางเยอรมนี กล่าวรายงานภาวะเศรษฐกิจต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยเตือนรัฐบาลให้ระมัดระวังภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ธนาคารกลางเยอรมนีได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจเยอรมนีในปีนี้ลงสู่ระดับ 2.0% จากเดิมที่ 2.5%

• นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ ยืนยันว่าได้มีการเจรจากับเกาหลีเหนือเกี่ยวกับการส่งคืนร่างของทหารที่เสียชีวิตในสงครามเกาหลีเมื่อช่วงปี 1950-1953 ซึ่งทางการเกาหลีเหนืก็ยืนยันจะให้ความร่วมมืออย่างแน่วแน่ และจะมีการเจรจาติดตามความคืบหน้าอีกครั้งภายในวันจันทร์นี้

• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวถึงความตั้งใจที่จะกลับมาลงสมัครเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในปี 2020 เนื่องจากทุกคนต้องการเขา และไม่มีคู่แข่งคนใดเอาชนะเขาได้

• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CBS ก่อนหน้าการพบกันระหว่างเขาและนายวลาดิเมีย ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย โดยเขาได้ระบุว่า สหภาพยุโรปคือ“ศัตรู” ในเชิงการค้าระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ ทรัมป์และปูตินมีกำหนดจะพบกันในเมืองเฮลซิงกิ เมืองหลวงของประเทศฟินแลนด์ ภายในวันจันทร์นี้ ซึ่งจะเป็นการพบกันโดยตรงครั้งแรกระหว่างผู้นำทั้ง 2 นับตั้งแต่นายทรัมป์รับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อต้นปี 2017

• นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เตรียมเปิดเผยนโยบายที่จะมาบรรเทาผลกระทบที่บรรดาผู้ผลิตอากาศยานได้รับจากนโยบาย Brexit ให้จะกล่าวให้สัญญาว่าบรรดาธุรกิจอากาศยานจะรุ่งเรื่องภายหลังจากอังกฤษถอนตัวจากสหภาพยุโรป

อย่างไรก็ตาม นางเมย์อาจประสบกับเสียงคัดค้านจากสมาชิกร่วมพรรคการเมืองและจากพรรคคู่แข่ง เพื่อกดดันให้นางเมย์เปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินนโยบาย Brexit ของเธอ เนื่องจากสมาชิกบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าร่วมกับสหภาพยุโรปเอาไว้ แม้อังกฤษจะถอนตัวออกจากสหภาพไปแล้วก็ตาม

• ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นกว่า 1% ท่ามกลางเหตุประท้วงในนอร์เวย์และอิรัก โดยภาพรวมสัญญาน้ำมันดิบจะร่วงลงติดต่อกัน 2 สัปดาห์หลังจากที่ลิเบียจะกลับมาทำการเปิดทำการอีกครั้งแม้ว่าจะมีการคว่ำบาตรจากทางสหรัฐฯ

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 88 เซนต์ ที่ระดับ 75.33 เหรียญ/บาร์เรล คิดเป็น +1.18% ขณะที่สัปดาห์ที่แล้วน้ำมันดิบ Brent ร่วงลงไป 2.7%

น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 68 เซนต์ ที่ระดับ 71.01 เหรียญ/บาร์เรล และโดยสัปดาห์ที่แล้วปรับลงไป 3.9%

Related
บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com